หน้าแรก >> ข่าวทั้งหมด >> อ่านบทความ/ข่าว

[รีวิว] Samsung Galaxy Note 20 l Note 20 Ultra เรือธงที่ทรงพลังและสมบูรณ์แบบที่สุด มาพร้อมปากกา S Pen ใหม่ ตอบสนองไวขึ้น, ชิปตัวท็อป Exynos 990, RAM สูงสุด 12 GB และกล้อง 108MP เริ่มต้นที่ 29,900 บาท

ปี 2020 นี้ถือว่าเป็นปีที่พิเศษสำหรับ Samsung Galaxy Note Series เลยก็ว่าได้ เพราะเป็นปีที่สมาร์ทโฟนในซีรี่ส์นี้เปิดตัวมาครบ 10 ปีแล้วนั่นเอง โดยเมื่อต้นปี ทาง Samsung ได้เปิดตัว Samsung Galaxy S20 l S20+ และ S20 Ultra ซึ่งถือว่าเป็นเรือธงที่รวมนวัตกรรมและฟีเจอร์ใหม่ ๆ ของวงการสมาร์ทโฟนมาใส่ไว้ในรุ่นนี้เกือบทั้งหมด ทำให้ Samsung Galaxy Note 20 และ Samsung Galaxy Note 20 Ultra ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อไม่นานมานี้ ถูกจับตามองเป็นพิเศษว่า นอกเหนือจากการประมวลผลอันทรงพลังแล้ว ยังมีจุดเด่นใดอีกบ้างที่ทำให้สมาร์ทโฟนรุ่นนี้เป็นรุ่นที่สมการรอคอยมานานนับปี

สำหรับ Samsung Galaxy Note 20 l Note 20 Ultra ในปีนี้ ไม่ใช่เป็นแค่สมาร์ทโฟนเรือธงอีกต่อไปแล้ว แต่ทาง Samsung เรียกสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ว่าเป็น Power Phone ที่รองรับการใช้งานได้อย่างหลากหลาย และสามารถใช้งานได้ทุกที่ไม่ใช่แค่ที่บ้านหรือที่ทำงาน อีกทั้งยังอัปเกรดมาใช้ชิปเซ็ตที่ดีที่สุดของปี รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพของปากกา S Pen ที่ในปีนี้เป็น Advanced Intelligent S Pen ฉลาดขึ้น ใช้งานได้ดีขึ้นกว่าเดิม เหมือนกับกำลังใช้ปากกาจริงขีดเขียนบนกระดาษเลยทีเดียว

โดยดีไซน์ของ Samsung Galaxy Note 20 l Note 20 Ultra ปีนี้ มีการออกแบบที่ไม่แตกต่างจาก Samsung Galaxy S20 Series มากนัก แต่สิ่งที่เหนือกว่าก็คือ Samsung Note 20 Ultra ใช้กระจกแบบ Gorilla Glass Victus ทั้งด้านหน้าและด้านหลังตัวเครื่อง ที่ให้ความแข็งแกร่งและทนทาน อีกทั้งยังเป็นผิวสัมผัสของตัวเครื่องด้านหลังยังเป็นแบบด้าน ทำให้ไม่ติดรอยนิ้วมือเหมือนกับรุ่นที่ผ่านมา

สำหรับหน้าจอแสดงผล เรียกได้ว่า หยิบสิ่งที่ดีที่สุดบน Galaxy S20 Series มาสานต่อบน Galaxy Note 20 Series ไม่ว่าจะเป็น รองรับอัตรารีเฟรชที่ 120Hz, รองรับ HDR10+ และดีไซน์แบบ Infinity-O Display ซึ่ง Samsung Galaxy Note 20 Ultra มีขนาดหน้าจอใหญ่ถึง 6.9 นิ้ว แบบ Edge Quad HD+ Dynamic AMOLED 2X ความละเอียด 3088 x 1440 พิกเซล ในอัตราส่วน 20:9 ส่วน Samsung Galaxy Note 20 มีขนาดหน้าจอที่ 6.7 นิ้ว แบบ Flat HD Super AMOLED Plus ความละเอียด 2400 x 1080 พิกเซล ส่วนตรงกลางจอส่วนบน เป็นกล้องด้านหน้า ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล (F/2.2) เหมือนกันทั้ง 2 รุ่น

ด้านการประมวลผล ทั้ง Samsung Galaxy Note 20 l Note 20 Ultra ใช้ชิปเซ็ต Exynos 990 แบบ Octa-Core Processor ความเร็ว 2.7 GHz และหน่วยประมวลผลภาพกราฟิก Mali-G77 MP11 GPU ส่วนหน่วยความจำ RAM กับ ROM นั้น Samsung Galaxy Note 20 ทั้งรุ่น LTE และ 5G จะมาพร้อมกับ RAM ขนาด 8 GB + ROM 256 GB ในขณะที่ Samsung Galaxy Note 20 Ultra รุ่น LTE จะมาพร้อมกับ RAM ขนาด 8 GB + ROM 256/512 GB ส่วนรุ่น 5G จะมาพร้อมกับ RAM ขนาด 12 GB + ROM 256/512 GB ซึ่ง Samsung Galaxy Note 20 Ultra สามารถเพิ่มหน่วยความจำเสริมภายนอกด้วย microSD Card ได้ ในขณะที่ Samsung Galaxy Note 20 ไม่รองรับคุณสมบัติดังกล่าว

กล้องถ่ายรูป ถือว่าเป็นจุดขายหลัก ๆ ของ Samsung Galaxy Note 20 Series เลยก็ว่าได้ ซึ่ง Samsung Galaxy Note 20 Ultra มาพร้อมกับกล้องหลักความละเอียด 108 ล้านพิกเซล เท่ากับ Samsung Galaxy S20 Ultra รองรับการซูมได้สูงสุดที่ 50 เท่า พร้อมเลนส์อีก 2 ตัว นั่นก็คือ เลนส์ Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล และเลนส์ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล อีกทั้งยังเพิ่มความแม่นยำในการโฟกัสภาพด้วยระบบ Laser AF Sensor

ส่วน Samsung Galaxy Note 20 เป็นกล้องหลัก 3 ตัวเหมือนกับ Samsung Galaxy Note 20 Ultra โดยกล้องหลัก มีความละเอียดอยู่ที่ 12 ล้านพิกเซล รองรับการซูมได้สูงสุดที่ 30 เท่า, เลนส์ Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล และเลนส์ Telephoto ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล

ด้านปากกา S Pen ที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของ Samsung Galaxy Note 20 l Note 20 Ultra ในปีนี้ได้รับการปรับปรุงใหม่ ตอบสนองการขีดเขียนได้ไวขึ้นกว่าเดิมด้วยการลดค่าความหน่วง (Latency) ซึ่งบน Samsung Galaxy Note 20 ลดจาก 42 ms เหลือ 26 ms ส่วนบน Samsung Galaxy Note 20 Ultra อยู่ที่ 9 ms เท่านั้น ทำให้การเขียนต่อเนื่อง ลื่นไหล เหมือนกับกำลังขีดเขียนด้วยปากกาบนกระดาษจริงอยู่นั่นเอง

เกริ่นคุณสมบัติกันแบบคร่าว ๆ กันไปแล้ว มาดูกันดีกว่าว่า Samsung Galaxy Note 20 l Note 20 Ultra เรือธงรุ่นใหม่ป้ายแดงนี้ จะตอบโจทย์การใช้งานได้ดีแค่ไหน มาพิสูจน์ไปพร้อม ๆ กันกับ รีวิว Samsung Galaxy Note 20 l Note 20 Ultra โดยทีมงาน techmoblog.com

 

สรุปคะแนนทดสอบจากทีมงาน

 

สเปก Samsung Galaxy Note20 l Note20 Ultra

 

รีวิว Samsung Galaxy Note20 l Note20 Ultra : ดีไซน์และการออกแบบ

สำหรับดีไซน์ด้านหน้าของ Samsung Galaxy Note 20 กับ Samsung Galaxy Note 20 Ultra โดยรวมแล้วถือว่าไม่แตกต่างกันมาก ซึ่งทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมกับหน้าจอแบบ Infinity-O Display หรือหน้าจอแบบเจาะรูตรงกลางสำหรับกล้องด้านหน้า โดย Samsung Galaxy Note 20 Ultra จะเป็นกระจกหน้าจอ Gorilla Glass Victus ที่มีความแข็งแกร่งและทนทาน

โดย Samsung Galaxy Note 20 Ultra จะมีขนาดหน้าจอใหญ่กว่าที่ 6.9 นิ้ว แบบ Dynamic AMOLED 2X ความละเอียด 3088 x 1440 พิกเซล ส่วน Samsung Galaxy Note 20 จะมีขนาดหน้าจออยู่ที่ 6.7 นิ้ว แบบ Super AMOLED Plus ความละเอียด 2400 x 1080 พิกเซล ซึ่งทั้ง 2 รุ่นรองรับ HDR10+ แต่ Samsung Galaxy Note 20 Ultra จะเหนือกว่าตรงที่รองรับอัตรารีเฟรชที่ 120Hz ทำให้หน้าจอมีความ smooth ใช้งานได้ลื่นไหลและสบายตามากกว่า โดยฟีเจอร์นี้จะมีการปรับอัตโนมัติตามคอนเทนต์ที่ใช้งาน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากเป็นภาพนิ่ง Refresh Rate จะปรับเป็น 60Hz เพื่อประหยัดแบตเตอรี่ แต่ถ้าหากมีการใช้งานที่ต้องมีการเคลื่อนไหว เช่น เลื่อนหน้าฟีด Facebook ก็จะปรับเป็น 120Hz เพื่อให้การแสดงผลที่ได้สบายตามากขึ้นนั่นเอง

 

ด้านบนของหน้าจอแสดงผล เป็นกล้องด้านหน้า ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล (F/2.2) เหมือนกันทั้ง 2 รุ่น

 

ส่วนด้านล่างของหน้าจอแสดงผล จะเป็นปุ่มควบคุมการทำงานแบบสัมผัส ประกอบด้วย Recent Apps, ปุ่ม Home และปุ่มย้อนกลับ ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นการควบคุมแบบใช้ท่าทางได้ที่หน้าการตั้งค่า

 

สำหรับ Samsung Galaxy Note 20 รุ่นที่ทีมงานได้นำมารีวิวให้ชมกันนั้น เป็นสีเขียว Mystic Green ส่วน Samsung Galaxy Note 20 Ultra เป็นสีทอง Mystic Bronze ซึ่งเป็นสีใหม่ที่ให้ลุคพรีเมียมมากเลยทีเดียว โดยฝาหลังเป็นวัสดุกระจก Gorilla Glass Victus ผิวสัมผัสแบบด้าน ข้อดีก็คือไม่ติดรอยนิ้วมือนั่นเอง

กล้องด้านหลังของ Samsung Galaxy Note 20 กับ Samsung Galaxy Note 20 Ultra ถือว่ามีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งโมดูลกล้องของ Samsung Galaxy Note 20 Ultra จะมีขนาดที่ใหญ่กว่า และนูนออกมาพอสมควร ส่วนใครที่ไม่ชอบดีไซน์กล้องนูนแบบนี้ เพราะกังวลว่าตัวกล้องจะเกิดความเสียหายเมื่อวางกับโต๊ะ การหาเคสมาสวมใส่จะช่วยได้ในระดับหนึ่งและช่วยทำให้จับได้ถนัดมือมากขึ้นด้วย

สำหรับสเปกกล้องด้านหลังของทั้ง 2 รุ่น เป็นกล้องด้านหลัง 3 ตัว (Triple Camera) เหมือนกัน ต่างกันที่ความละเอียดกล้อง ดังนี้

  • สเปกกล้องหลัง Samsung Galaxy Note 20 Ultra
    • เลนส์หลัก ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล (F/1.8)
    • เลนส์ Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/2.2)
    • เลนส์ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/3.0)
    • Laser AF Sensor
  • สเปกกล้องหลัง Samsung Galaxy Note 20
    • เลนส์หลัก ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/1.8)
    • เลนส์ Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/2.2)
    • เลนส์ Telephoto ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล (F/2.0)

 

ด้านขวาตัวเครื่อง ประกอบด้วย ปุ่ม Power สำหรับเปิด-ปิดตัวเครื่อง l ล็อกหน้าจอแสดงผล และปุ่มปรับระดับเสียง

 

ด้านซ้ายตัวเครื่อง ไม่มีพอร์ตหรือปุ่มควบคุมการทำงาน

 

ด้านบนตัวเครื่อง เป็นถาดใส่ซิมการ์ด และไมโครโฟนตัวที่สอง ซึ่งทั้ง 2 รุ่นรองรับ 2 ซิมการ์ดเหมือนกัน แต่ที่แตกต่างกันก็คือ Samsung Galaxy Note 20 จะไม่รองรับ microSD Card ในขณะที่ Samsung Galaxy Note 20 Ultra รองรับ microSD Card แต่จะต้องเลือกระหว่างซิมการ์ดที่ 2 กับ microSD Card เนื่องจากเป็นถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Hybrid Slot นั่นเอง

 

ส่วนด้านล่างตัวเครื่อง จะเป็นช่องใส่ปากกา S Pen, ลำโพงเสียง, พอร์ต USB-C และไมโครโฟนตัวหลัก ซึ่งทั้ง Samsung Galaxy Note 20 l Note 20 Ultra ย้ายตำแหน่งของช่องใส่ปากกา S Pen มาอยู่ที่ด้านซ้ายตัวเครื่องแล้ว (รุ่นก่อนอยู่ด้านขวา)

 

ปากกา S Pen มีฟีเจอร์และลูกเล่นอะไรบ้าง ?

แม้จะเป็นมือถือเรือธงเหมือนกับรุ่น Galaxy S Series แต่สิ่งที่ Samsung Galaxy Note Series แตกต่างจากรุ่นอื่น ๆ นั่นก็คือ คุณสมบัติในการรองรับปากกา S Pen ที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของรุ่นนี้นั่นเอง ซึ่งแต่ก่อนนั้น หลาย ๆ ท่านอาจจะเคยเข้าใจว่า Samsung Galaxy Note Series เป็นสมาร์ทโฟนสำหรับวาดรูป หรือขีดเขียน เนื่องจากมีปากกามาให้ แต่สำหรับ Samsung Galaxy Note 20 Series นั้น มีคำนิยามใหม่ นั่นก็คือ Power Phone for Work ซึ่งจะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยจุดขายของรุ่น นั่นก็คือ ปากกา S Pen นั่นเอง

 

 

สำหรับปากกา S Pen บน Samsung Galaxy Note 20 Series นั้น เป็น Advanced Intelligent S Pen ซึ่งมีฟังก์ชันและลูกเล่นต่าง ๆ มากกว่ารุ่นก่อน ส่วนลูกเล่นเดิม ๆ ที่ผู้ใช้คุ้นเคยกันดีก็ยังคงมีอยู่ อย่างเช่น เขียนบนหน้าจอปิด ที่สามารถดึงปากกาออกมาแล้วเขียนบนหน้าจอได้เลยโดยไม่ต้องปลดล็อก แต่ถ้าหากสังเกตให้ดี ปากกา S Pen รุ่นใหม่นี้จะให้ความรู้สึกที่เหมือนกับกำลังใช้ปากกาจริงมากขึ้น เพราะค่าความหน่วง (Latency) ลดลงจาก 42 ms เหลือ 26 ms (บน Samsung Galaxy Note 20) และเหลือ 9 ms (บน Samsung Galaxy Note 20 Ultra) ทำให้การเขียนค่อนข้างต่อเนื่อง ลื่นไหล และมีเสียงในขณะเขียนด้วย ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเขียนบนกระดาษจริง ๆ นั่นเอง

 

นอกจากนี้ แอปพลิเคชัน Samsung Notes บน Samsung Galaxy Note 20 l Note 20 Ultra ยังมาพร้อมกับความสามารถใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น AI Neat Note ปรับข้อความที่เขียนไว้แบบเอียง ๆ เรียงเป็นบรรทัดอย่างสวยงาม ไม่ต้องลบแล้วเขียนใหม่ให้เสียเวลา

 

ไฟล์ที่ถูกสร้างบน Samsung Notes สามารถเลือกบันทึกเป็นไฟล์ PDF, Word หรือ PowerPoint ได้เลย

 

จุดเด่นอีกอย่างของแอปฯ Samsung Notes ก็คือ สามารถจดโน้ตไปพร้อม ๆ กับการบันทึกเสียงได้ ซึ่งรองรับการใช้งานได้ในหลาย ๆ สถานการณ์ เช่น จดบันทึกการประชุมพร้อมกับการบันทึกเสียง หรือจะจดเลกเชอร์ในชั่วโมงเรียน เป็นต้น ความพิเศษก็คือ เสียงที่ถูกบันทึกจะเชื่อมโยงกับโน้ตที่จดลงไป เมื่อเรากดฟังข้อความที่จดก็จะตรงกับเสียงที่ถูกบันทึกไว้พอดี

 

ด้าน Air Action หรือฟีเจอร์ไม้กายสิทธิ์ ด้วยการกดปุ่มที่ตัวปากกาและตวัดไปมา ถือไม่ใช่ของใหม่สำหรับ Samsung Galaxy Note 20 l Note 20 Ultra แต่ได้รับการปรับปรุงให้มีลูกเล่นมากขึ้น รวมถึงแอปฯ ของ Office สามารถกดปุ่มที่ตัวปากกาเพื่อเปลี่ยนสไลด์ได้ ซึ่งถือว่าเป็นฟังก์ชันที่ช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งานได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว

นอกเหนือจากฟีเจอร์ข้างต้นแล้ว ปากกา S Pen และแอปพลิเคชัน Samsung Note ยังมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น

  • สามารถเปิดไฟล์ PDF แล้วขีดเขียนในไฟล์นั้นได้เลย โดยไม่ต้อง capture รูปมาเหมือนแต่ก่อน
  • มีฟีเจอร์แปลงลายมือให้เป็นตัวพิมพ์ได้
  • ปลดล็อกตัวเครื่องด้วยปากกา S Pen ได้ด้วยการกดปุ่มที่ตัวปากกา (ต้องตั้งค่าก่อน)
  • สามารถใช้เป็นชัตเตอร์กล้อง ซึ่งสะดวกมากเวลาใช้ถ่ายรูปโดยไม่จำเป็นต้องเอื้อมมือไปกดปุ่มชัตเตอร์ที่ตัวสมาร์ทโฟน
  • มีฟังก์ชันแจ้งเตือนในกรณีที่ปากกาถูกดึงออกจากเครื่อง หรือไม่ได้วางอยู่ใกล้ตัวเครื่อง
  • สามารถใช้ปากกา S Pen เขียนลงใน AR Emoji ได้แล้ว
  • รองรับการกันน้ำตามมาตรฐาน IP68 เช่นเดียวกับตัวเครื่อง
  • ฟีเจอร์ Sync to Microsoft Office เชื่อม Samsung Notes กับ OneNote บนพีซีและ Outlook (เปิดให้ใช้งานปลายปีนี้)

 

สำหรับการชาร์จปากกา S Pen บน Samsung Galaxy Note 20 และ Galaxy Note 20 Ultra นั้น ง่าย ๆ เพียงแค่เสียบปากกากลับเข้าไป

 

รีวิว Samsung Galaxy Note20 l Note20 Ultra : อินเทอร์เฟส และการใช้งานเบื้องต้น

Samsung Galaxy Note 20 และ Samsung Galaxy Note 20 Ultra ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 10 และ One UI เวอร์ชัน 2.5 ซึ่งทั้ง 2 รุ่นรองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด และรองรับเครือข่ายทั้ง 4G LTE และ 5G โดยเครือข่าย 5G นั้น รองรับคลื่นความถี่ 2600 MHz ทั้งของ TrueMove H และ AIS อีกทั้งยังรองรับ Wi-Fi 6 อีกด้วย

 

สำหรับฟังก์ชันการแจ้งเตือน สามารถเข้าสู่เมนูลัดสำหรับตั้งค่าการใช้งานในเบื้องต้นได้ ทั้ง Wi-Fi, Bluetooth, ล็อกการหมุนของหน้าจอ, ปรับความสว่างของหน้าจอ, ไฟฉาย, Airplane Mode และการตั้งค่าอื่น ๆ รวมถึงปิดเครื่อง หรือรีสตาร์ทเครื่องจากส่วนนี้ก็ได้เช่นกัน

 

Samsung Daily (ชื่อเดิม Bixby Home) จะเป็นแหล่งรวมคอนเทนต์ต่าง ๆ ที่ผู้ใช้ให้ความสนใจ ซึ่งข้อมูลทั้งหมดจะถูกรวบรวมไว้ที่ส่วนนี้ สะดวกต่อการอ่านและค้นหา

 

สามารถเลือกเปลี่ยนวอลเปเปอร์, ธีมส่วนตัว, ไอคอนส่วนตัว รวมถึง Widget ต่าง ๆ ได้ตามสไตล์การใช้งาน

 

การปัดขึ้นจากหน้า Home จะเข้าสู่ App Drawer รวมแอปพลิเคชันที่มีทั้งหมดในตัวเครื่อง เบื้องต้นนั้นมีแอปพลิเคชันพื้นฐานของทาง Samsung, Google และ Microsoft ติดตั้งมาให้เรียบร้อยแล้ว

 

สำหรับจอภาพนั้น สามารถตั้งค่าได้ทั้งแบบโหมดสว่าง และโหมดมืด ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนธีมให้เป็นสีทึบ สำหรับการใช้งานในที่แสงน้อยให้สบายตามากขึ้น นอกจากนี้ ยังรองรับฟีเจอร์ฟิลเตอร์แสงสีฟ้า กับการจำกัดปริมาณแสงสีฟ้าบนหน้าจอด้วยการเปลี่ยนสีบนหน้าจอให้เป็นสีเหลืองนวล เพื่อลดอาการล้าที่ดวงตาเมื่อใช้เป็นเวลานาน ๆ หรือใช้ในที่แสงน้อย ส่วนโหมดหน้าจอ สามารถเลือกได้ 2 แบบคือ สดใส กับ ธรรมชาติ และสามารถปรับค่าสมดุลสีขาวได้

 

บน Samsung Galaxy Note 20 Ultra จะสามารถปรับอัตราการรีเฟรชของหน้าจอได้ 2 แบบ นั่นก็คือ 60 Hz อัตราการรีเฟรชระดับมาตรฐาน และ 120 Hz เป็นอัตราการรีเฟรชระดับสูง ซึ่งระดับนี้จะได้ภาพที่นิ่งกว่าและลื่นไหลมากกว่า แต่ความละเอียดของหน้าจอจะปรับได้สูงสุดที่ระดับ FHD+ เท่านั้น เนื่องจากค่อนข้างสิ้นเปลืองพลังงานแบตเตอรี่ ส่วน Samsung Galaxy Note 20 จะรองรับอัตรารีเฟรชที่ 60 Hz เท่านั้น

 

สามารถตั้งค่าการแสดงผลของไอคอนแอปฯ ทั้งในหน้าจอหลัก และหน้าจอแอปฯ ได้ 4 รูปแบบ ซึ่งได้แก่ 4x5, 4x6, 5x5 และ 5x6

 

หน้าจอขอบ เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงเครื่องมือต่าง ๆ ได้ง่ายและรวดเร็วที่สุดด้วยการปัดจากขอบด้านขวา ซึ่งสามารถเลือกแผง Edge ได้หลายแบบ เช่น แอปฯ, การเลือกอัจฉริยะ, เครื่องมือ และอื่น ๆ

 

Edge Lighting แสดงการแจ้งเตือนในรูปแบบ Pop Up ขนาดเล็กพร้อมเอฟเฟกต์แสง ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกรูปแบบ, สีสัน, ความโปร่งใส และช่วงเวลาในการแสดงเอฟเฟกต์ได้

 

ปุ่มควบคุมการทำงานแบบสัมผัส สามารถเลือกสลับตำแหน่งของปุ่ม Recent Apps กับปุ่ม Back ได้ หรือจะเปลี่ยนเป็นการควบคุมการทำงานแบบใช้ท่าทางก็ได้เช่นกัน

 

รองรับฟีเจอร์ Always On Display กับการแสดงวันที่, เวลา รวมถึงข้อความแจ้งเตือนต่าง ๆ บนหน้า Lock Screen ในขณะที่หน้าจอยังดับอยู่ ซึ่งสามารถปรับรูปแบบของการแสดงเวลา และสีสันได้

 

ในด้านความปลอดภัยและการปลดล็อกตัวเครื่องนั้น รองรับทั้งการสแกนใบหน้า (Face Recognition) และการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ (Ultrasonic Fingerprint Sensor)

 

ปุ่มด้านข้างตัวเครื่อง สามารถเลือกเพื่อตั้งค่าการใช้งานได้ เช่น กด 2 ครั้งเพื่อเปิดกล้อง - เปิด Bixby - เปิดแอปฯ หรือกดค้างไว้เพื่อปลุก Bixby - ปิดเครื่อง เป็นต้น

 

นอกเหนือจากฟังก์ชันการใช้งานที่ใกล้เคียงกับการใช้งานคอมพิวเตอร์แล้ว เรายังสามารถนำ Samsung Galaxy Note 20 l Note 20 Ultra ไปทำงานบนคอมพิวเตอร์ได้ด้วยเช่นกัน ผ่านทางฟีเจอร์ที่มีชื่อว่า Samsung DeX นั่นเอง ซึ่งทาง Samsung ได้ประกาศความร่วมมือกับ Microsoft ในงานเปิดตัวเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สามารถนำ Samsung Galaxy Note 20 l Note 20 Ultra ไปแชร์ภาพหน้าจอมือถือและทำงานบนคอมพิวเตอร์ได้เลย ผ่านทางแอปพลิเคชัน Your Phone ยกตัวอย่างเช่น แอปพลิเคชัน LINE ก็สามารถใช้คีย์บอร์ดพิมพ์ข้อความ หรือใช้เมาส์คลิกได้เลยโดยที่ไม่ต้องแตะตัวสมาร์ทโฟนแต่อย่างใด

นอกจากนี้ ยังสามารถเชื่อมต่อ Samsung Galaxy Note 20 l Note 20 Ultra กับทีวีหรือจอภาพภายนอกด้วยสาย HDMI หรือเชื่อมต่อแบบไร้สายผ่านระบบ Miracast เปลี่ยนมือถือให้กลายเป็นคอมพิวเตอร์พีซี และใช้มือถือเป็นเมาส์หรือคีย์บอร์ดได้

 

เนื่องจากทั้ง Samsung Galaxy Note 20 l Note 20 Ultra เป็นมือถือหน้าจอใหญ่ ทำให้สามารถเปิดหลาย ๆ แอปพลิเคชันได้พร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็น การเปิดแบบแบ่งคนละครึ่งจอ หรือจะเปิดแบบหลาย ๆ แอปฯ แบบ Pop- Up ซ้อนกัน เหมือนกับการใช้งานบนคอมพิวเตอร์ จอไหนยังไม่ได้ใช้งานสามารถย่อเก็บไว้ก่อนแล้วเปิดทีหลังได้เช่นกัน

 

ในกรณีที่คลิปวิดีโอไม่ได้อยู่ในอัตราส่วนที่ 20:9 การแสดงผลจะเป็นแบบไม่เต็มจอ ซึ่งจะเหลือขอบด้านข้างซ้ายและขวาเอาไว้ แต่ผู้ใช้สามารถขยายให้เต็มจอได้ แต่ภาพจะตัดขอบด้านบนและด้านล่างออกไปเล็กน้อย

 

Samsung Game Launcher เป็นเกมโซนที่รวมเกมทั้งหมดที่ติดตั้งในตัวเครื่อง ซึ่งมีข้อมูลทั้งประวัติการเล่นเกม, เกมยอดนิยม, เกมตามการจัดอันดับ รวมถึงเชื่อมต่อกับเพื่อนที่เล่นเกมด้วยกันจากหลายแพลทฟอร์มผ่านทางแอปพลิเคชัน Discord

 

ทั้ง Samsung Galaxy Note 20 และ Samsung Galaxy Note 20 Ultra รุ่นที่นำมาทดสอบนี้ ต่างใช้ชิปเซ็ต Exynos 990 ด้วยกันทั้งคู่ และเป็นชิปเซ็ตรุ่นเดียวกับ Samsung Galaxy S20 Series ที่เปิดตัวเมื่อช่วงต้นปีนั่นเอง โดย Samsung Galaxy Note 20 รุ่นที่นำมาทดสอบเป็นรุ่น 5G ในขณะที่ Samsung Galaxy Note 20 Ultra เป็นรุ่น 4G LTE ทำให้มีหน่วยความจำ RAM เท่ากันที่ 8 GB ซึ่งจากการทดสอบเล่นเกม Call of Duty, ROV และ Mobile Legends : Bang Bang พบว่า ตอบสนองต่อการเล่นเกมได้อย่างดี โหลดไว ลื่นไหล ไม่สะดุด ประกอบกับฟีเจอร์ Game Booster ทำให้ตัวเครื่องไม่ร้อนจนเกินไปในขณะที่เล่นเกมอีกด้วย

 

มาทดสอบ Benchmark ด้วยโปรแกรม Geekbench 5 กันบ้าง ซึ่ง Samsung Galaxy Note 20 Ultra (ซ้าย) ทำคะแนนทดสอบได้ 928 คะแนน (Single-Core) และ 2,786 คะแนน (Multi-Core) ส่วน Samsung Galaxy Note 20 (ขวา) ทำคะแนนทดสอบได้ 569 คะแนน (Single-Core) และ 2,651 คะแนน (Multi-Core)

 

ส่วนการทดสอบด้วยโปรแกรม 3D Mark ของทั้ง 2 รุ่นถือว่าได้คะแนนที่ใกล้เคียงกันมาก ซึ่งบน Samsung Galaxy Note 20 Ultra (ซ้าย) การทดสอบแบบ Sling Shot Extreme - OpenGL ES 3.1 ได้คะแนนการทดสอบที่ 6,575 คะแนน และการทดสอบแบบ Sling Shot Extreme - Vulkan ได้คะแนนการทดสอบที่ 6,300 คะแนน ส่วนบน Samsung Galaxy Note 20 (ขวา) การทดสอบแบบ Sling Shot Extreme - OpenGL ES 3.1 ได้คะแนนการทดสอบที่ 6,577 คะแนน และการทดสอบแบบ Sling Shot Extreme - Vulkan ได้คะแนนการทดสอบที่ 6,297 คะแนน

 

ส่วนเซ็นเซอร์ที่รองรับบน Samsung Galaxy Note 20 และ Samsung Galaxy Note 20 Ultra ได้แก่ Accelerometer Sensor, Light Sensor, Orientation Sensor, Proximity Sensor, Gyroscope Sensor, Sound Sensor, Magnetic Sensor และ Pressure Sensor

 

รีวิว Samsung Galaxy Note20 l Note20 Ultra : กล้องถ่ายรูป

สำหรับกล้องด้านหน้าของ Samsung Galaxy Note 20 และ Samsung Galaxy Note 20 Ultra มีความละเอียดเท่ากันที่ 10 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงกว้าง F/2.2 สามารถเลือกมุมมองถ่ายภาพทั้งแบบมุมมองปกติ และมุมมองกว้างสำหรับถ่ายภาพกลุ่ม, สามารถใส่ฟิลเตอร์ให้กับภาพถ่าย รวมถึง Custom Filters หรือฟิลเตอร์ส่วนตัว สมมติว่าไปเจอ preset ถูกใจบน Instagram ก็ให้เซฟภาพนั้นมาใช้เป็นฟิลเตอร์ส่วนตัวได้โดยที่ไม่ต้องไปปรับโทนสีอะไรอีก

ส่วนโหมด Beauty ที่สามารถปรับแต่งใบหน้าได้ 4 แบบ ได้แก่ ความเรียบเนียน, สีผิว, แนวกราม และดวงตา สูงสุด 8 ระดับ หรือจะเลือกแบบปรับอัตโนมัติ สูงสุดที่ 3 ระดับ นอกจากนี้ ยังรองรับโหมดถ่ายภาพอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน

 

โหมด Live Focus ถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ สามารถเลือกรูปแบบการเบลอได้ 5 รูปแบบ ได้แก่ เบลอ, วงกลมขนาดใหญ่, สปิน, ซูม และ Color Point อีกทั้งยังสามารถปรับความเนียนของผิวได้สูงสุด 8 ระดับ

 

ฝั่งของ AR Zone ยังคงมีลูกเล่นให้ได้เลือกใช้กันเหมือนเช่นเคย ไม่ว่าจะเป็น กล้อง AR Emoji, AR Doodle, สตูดิโอ AR Emoji, สติกเกอร์ AR Emoji, Deco Pic และ Picture Link ซึ่งเป็นอีกหนึ่งฟังก์ชันที่ทำให้การถ่ายภาพมีสีสันมากขึ้น

 

มาดูกันที่กล้องด้านหลังกันบ้าง ซึ่งโหมดการใช้งานนั้นไม่แตกต่างจากกล้องด้านหน้ามากนัก โดยมีทั้งโหมดถ่ายภาพปกติ, Single Take, โปร, พาโนรามา, อาหาร, กลางคืน, Live Focus, Video Live Focus, Pro Video และอื่น ๆ

 

ถึงแม้ว่าทั้ง 2 รุ่นจะมีกล้องหลัง 3 ตัวเหมือนกัน แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ความละเอียดของเลนส์ถ่ายภาพ ซึ่ง Samsung Galaxy Note 20 Ultra มาพร้อมกับกล้องหลัก ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล รองรับการซูมได้สูงสุด 50 เท่า ส่วน Samsung Galaxy Note 20 มาพร้อมกล้องหลัก ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รองรับการซูมได้สูงสุด 30 เท่า

 

นอกเหนือจากการถ่ายภาพนิ่งแล้ว อีกหนึ่งจุดเด่นของกล้องถ่ายรูปบน Samsung Galaxy Note 20 l Note 20 Ultra ก็คือ การถ่ายวิดีโอ กับโหมด Pro Video ซึ่งสามารถเลือกได้ว่าจะใช้ไมโครโฟนตัวไหนเก็บเสียง ยกตัวอย่างเช่น บันทึกเสียงของตัวแบบ ก็เลือกไมโครโฟนตัวหน้า แต่ถ้าหากจะเก็บเสียงของคนถ่าย ก็เลือกไมโครโฟนตัวหลัง เป็นต้น หรือจะต่อไมโครโฟนแบบ USB / Bluetooth ก็ทำได้เช่นกัน

 

นอกจากนี้ ยังสามารถปรับการตั้งค่าในส่วนอื่น ๆ เพิ่มเติมได้อีก เช่น ISO, การชดเชยแสง, การโฟกัส หรือแม้แต่ระยะการซูม ก็สามารถปรับได้เลยแบบเรียลไทม์ ซึ่งถือว่าสะดวกมาก ๆ เพราะไม่ต้องไปตัดต่อเพิ่มเติมอีก สำหรับสาย Vlog น่าจะชอบในส่วนนี้ เพราะไม่ต้องพกอุปกรณ์อื่นเพิ่มเติม มีแค่ Samsung Galaxy Note 20 l Note 20 Ultra เครื่องเดียว หรืออาจจะพกหูฟังไร้สายเป็นไมโครโฟนก็ได้เช่นกัน

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง Samsung Galaxy Note 20 Ultra

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้า Samsung Galaxy Note 20 Ultra
โหมดรูปภาพ ปรับความเนียนระดับ 4

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้า Samsung Galaxy Note 20 Ultra
โหมดรูปภาพ ปรับความเนียนระดับ 4

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้า Samsung Galaxy Note 20 Ultra
โหมดรูปภาพ ปรับความเนียนระดับ 8

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้า Samsung Galaxy Note 20 Ultra
โหมดรูปภาพ ปรับความเนียนระดับ 8

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้า Samsung Galaxy Note 20 Ultra
โหมด Live Focus เอฟเฟกต์เบลอ

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้า Samsung Galaxy Note 20 Ultra
โหมด Live Focus เอฟเฟกต์สปิน

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง Samsung Galaxy Note 20 Ultra
โหมด Ultra Wide

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง Samsung Galaxy Note 20 Ultra
โหมด Ultra Wide

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง Samsung Galaxy Note 20 Ultra
โหมด Ultra Wide

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง Samsung Galaxy Note 20 Ultra
โหมด Ultra Wide

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง Samsung Galaxy Note 20 Ultra
โหมด Ultra Wide

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง Samsung Galaxy Note 20 Ultra
โหมดปกติ (Wide)

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง Samsung Galaxy Note 20 Ultra
โหมดปกติ (Wide)

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง Samsung Galaxy Note 20 Ultra
โหมดปกติ (Wide)

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง Samsung Galaxy Note 20 Ultra
โหมดปกติ (Wide)

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง Samsung Galaxy Note 20 Ultra
โหมดปกติ (Wide)

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง Samsung Galaxy Note 20 Ultra
โหมดปกติ (Wide)

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง Samsung Galaxy Note 20 Ultra
โหมดปกติ (Wide)

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง Samsung Galaxy Note 20 Ultra
ซูม 0.5x

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง Samsung Galaxy Note 20 Ultra
ซูม 1.0x

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง Samsung Galaxy Note 20 Ultra
ซูม 2.0x

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง Samsung Galaxy Note 20 Ultra
ซูม 4.0x

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง Samsung Galaxy Note 20 Ultra
ซูม 10x

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง Samsung Galaxy Note 20 Ultra
ซูม 20x

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง Samsung Galaxy Note 20 Ultra
ซูม 50x

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง Samsung Galaxy Note 20

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้า Samsung Galaxy Note 20
โหมดรูปภาพ ปรับความเนียนระดับ 4

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้า Samsung Galaxy Note 20
โหมดรูปภาพ ปรับความเนียนระดับ 4

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้า Samsung Galaxy Note 20
โหมดรูปภาพ ปรับความเนียนระดับ 8

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้า Samsung Galaxy Note 20
โหมดรูปภาพ ปรับความเนียนระดับ 8

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้า Samsung Galaxy Note 20
โหมด Live Focus เอฟเฟกต์เบลอ

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้า Samsung Galaxy Note 20
โหมด Live Focus เอฟเฟกต์เบลอ

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง Samsung Galaxy Note 20
โหมด Ultra Wide

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง Samsung Galaxy Note 20
โหมด Ultra Wide

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง Samsung Galaxy Note 20
โหมด Ultra Wide

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง Samsung Galaxy Note 20
โหมด Ultra Wide

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง Samsung Galaxy Note 20
โหมด Ultra Wide

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง Samsung Galaxy Note 20
โหมดปกติ (Wide)

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง Samsung Galaxy Note 20
โหมดปกติ (Wide)

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง Samsung Galaxy Note 20
โหมดปกติ (Wide)

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง Samsung Galaxy Note 20
โหมดปกติ (Wide)

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง Samsung Galaxy Note 20
โหมดปกติ (Wide)

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง Samsung Galaxy Note 20
โหมดปกติ (Wide)

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง Samsung Galaxy Note 20
โหมดปกติ (Wide)

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง Samsung Galaxy Note 20
ซูม 0.5x

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง Samsung Galaxy Note 20
ซูม 1.0x

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง Samsung Galaxy Note 20
ซูม 2.0x

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง Samsung Galaxy Note 20
ซูม 4.0x

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง Samsung Galaxy Note 20
ซูม 10x

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง Samsung Galaxy Note 20
ซูม 20x

 

ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง Samsung Galaxy Note 20
ซูม 30x

 

บทสรุปการใช้งาน

การกลับมาของ Samsung Galaxy Note 20 l Note 20 Ultra ในปีนี้ ถือว่าเป็นการยกระดับความสามารถที่เหนือกว่าสมาร์ทโฟนทั่วไป นอกจากการรองรับการใช้งานในแง่ของคำว่าสมาร์ทโฟนแล้ว ยังเหมือนกับเป็นการพกคอมพิวเตอร์ติดตัวไปทุกที่ ผ่านทางฟีเจอร์ Samsung DeX และ Wireless DeX ที่เข้ามาช่วยเชื่อมต่อการใช้งานระหว่างสมาร์ทโฟนกับคอมพิวเตอร์ รวมถึงปากกา S Pen ที่ในปีนี้เป็น Advanced Intelligent S Pen แล้ว ฉลาดขึ้น ตอบสนองต่อการเขียนดีขึ้น แม่นยำขึ้น อีกทั้งยังมาพร้อมกับฟีเจอร์การใช้งานที่มากขึ้น ตอบโจทย์ต่อการใช้งานได้ทุกรูปแบบ

ในด้านสเปกไม่ว่าจะเป็น หน้าจอแสดง, ชิปเซ็ต, กล้องถ่ายรูป และคุณสมบัติอื่น ๆ แม้ว่าจะไม่แตกต่างจาก Samsung Galaxy S20 Series เรือธงเมื่อช่วงต้นปีมากนัก แต่หลาย ๆ ฟีเจอร์ในแง่ของการใช้งาน ถือว่าได้รับการปรับปรุงและอัปเดตให้ดีขึ้น อย่างเช่น ฟีเจอร์ Laser AF Sensor ที่ถูกเพิ่มเข้ามาในกล้องด้านหลังของ Samsung Galaxy Note 20 Ultra ช่วยเพิ่มความแม่นยำด้านการโฟกัส ที่เคยเป็นปัญหาสำหรับผู้ใช้ Samsung Galaxy S20 Ultra มาก่อน รวมถึงลดระยะการซูมไกลจาก 100x เหลือ 50x ซึ่งถือว่าเป็นระยะการซูมที่พอเพียงกับการใช้งาน

 

คำถามที่มักถูกถามอยู่บ่อยครั้งว่า ระหว่าง Samsung Galaxy Note 20 กับ Samsung Galaxy Note 20 Ultra ควรจะซื้อรุ่นไหนมากกว่า ถ้าหากมองในเรื่องของสเปกและความคุ้มค่านั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่า Samsung Galaxy Note 20 Ultra เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากกว่าในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น หน้าจอแสดงผลที่มีขนาดใหญ่กว่า, จอรองรับอัตรารีเฟรชที่ 120Hz, ปากกา S Pen ตอบสนองต่อการใช้งานเร็วกว่า, วัสดุพรีเมียมมากกว่า, รองรับ microSD Card และกล้องด้านหลังที่มีความละเอียดมากกว่า รวมถึงมีระบบ Laser AF เข้ามาช่วยเพิ่มความแม่นยำในการโฟกัส

แต่จากคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ไม่ได้หมายความว่า Samsung Galaxy Note 20 นั้นไม่คุ้มค่า เพราะถ้าความแตกต่างเหล่านี้ไม่ได้เป็นปัจจัยหลักในการเลือกซื้อ Samsung Galaxy Note 20 ก็น่าจะคุ้มค่ามากกว่า อย่างน้อยก็ในเรื่องของราคาค่าตัวที่ถูกกว่าเกือบหมื่นบาท แต่ในแง่ของการใช้งานทั่วไปก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก

 

Samsung Galaxy Note 20 มีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ Mystic Bronze, Mystic Black และ Mystic White เช่นเดียวกับ Samsung Galaxy Note 20 Ultra ก็มีให้เลือก 3 สีเช่นกัน ได้แก่ Mystic Bronze, Mystic Green และ Mystic Gray โดยราคาของทั้ง 2 รุ่นมีรายละเอียดดังนี้

  • Samsung Galaxy Note 20 4G (RAM 8GB l ROM 256GB) ราคา 29,900 บาท
  • Samsung Galaxy Note 20 5G (RAM 8GB l ROM 256GB) ราคา 33,900 บาท
  • Samsung Galaxy Note 20 Ultra 4G (RAM 8GB l ROM 256GB) ราคา 38,900 บาท
  • Samsung Galaxy Note 20 Ultra 4G (RAM 8GB l ROM 512GB) ราคา 42,900 บาท
  • Samsung Galaxy Note 20 Ultra 5G (RAM 12GB l ROM 256GB) ราคา 42,900 บาท
  • Samsung Galaxy Note 20 Ultra 5G (RAM 12GB l ROM 512GB) ราคา 46,900 บาท

สำหรับผู้ที่ซื้อเครื่องเปล่ากับทาง Samsung ประเทศไทย รับข้อเสนอสุดพิเศษ กับส่วนลดแลกซื้อ Galaxy Buds Live 50%, รับสิทธิ์ผ่อน 0% นานสูงสุด 15 เดือน (เฉพาะบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ) และรับฟรีประกันจอแตกจาก Samsung Care+ นาน 1 ปี ซึ่งสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/3jUsJ6N

ส่วนผู้ที่ซื้อแบบตัวเครื่องพร้อมแพ็กเกจจากผู้ให้บริการเครือข่าย ไม่ว่าจะเป็น dtac, AIS และ TrueMove H ก็มีโปรโมชั่นที่น่าสนใจเช่นกัน สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการทั่วประเทศ

 

จุดเด่นของ Samsung Galaxy Note 20 l Note 20 Ultra

  • บน Samsung Galaxy Note 20 Ultra บอดี้ตัวเครื่องทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เป็นกระจกแบบ Gorilla Glass Victus ทำให้ตัวเครื่องมีความแข็งแกร่งและทนทาน และเป็นผิวสัมผัสแบบด้าน ลดรอยนิ้วมือติดเครื่อง
  • หน้าจอแสดงผล
    • Samsung Galaxy Note 20 Ultra : ขนาด 6.9 นิ้ว แบบ Edge Quad HD+ Dynamic AMOLED 2X ความละเอียด 3088 x 1440 พิกเซล, Refresh Rate 120Hz
    • Samsung Galaxy Note 20 : ขนาด 6.7 นิ้ว แบบ Flat FHD+ Super AMOLED Plus ความละเอียด 2400 x 1080 พิกเซล, Refresh Rate 60Hz
    • ดีไซน์หน้าจอแบบ Infinity-O Display
    • รองรับ HDR10+
  • ชิปประมวลผล Exynos 990 แบบ Octa-Core Processor ความเร็ว 2.73 GHz
  • ชิปประมวลผลภาพกราฟิก Mali-G77 MP11 GPU
  • หน่วยความจำ RAM
    • Samsung Galaxy Note 20 Ultra : 8 GB (4G) หรือ 12 GB (5G)
    • Samsung Galaxy Note 20 : 8 GB (4G/5G)
  • หน่วยความจำ ROM
    • Samsung Galaxy Note 20 Ultra : 256 GB หรือ 512 GB (4G/5G)
    • Samsung Galaxy Note 20 : 256 GB (4G/5G)
  • กล้องด้านหน้า ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล (F/2.2)
  • กล้องด้านหลัง 3 ตัว (Triple Camera)
    • Samsung Galaxy Note 20 Ultra : เลนส์หลัก ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล +เลนส์ Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล + เลนส์ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ซูมสูงสุด 50x + Laser AF Sensor
    • Samsung Galaxy Note 20 : เลนส์หลัก ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล +เลนส์ Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล + เลนส์ Telephoto ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล ซูมสูงสุด 30x
    • ไฟแฟลช LED
    • รองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 8K
    • ฟีเจอร์ Single Take โหมดการถ่ายภาพรูปแบบใหม่ที่ได้ทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวในครั้งเดียว สูงสุดถึง 14 รูปแบบ
    • ฟีเจอร์ Live Focus Video ถ่ายวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอ พร้อมฟิลเตอร์
    • ฟีเจอร์ 8K Video Snap สามารถ capture ภาพจากวิดีโอ 8K ได้ภาพถ่ายความละเอียดสูงสุดที่ 33 ล้านพิกเซล
    • สามารถเลือกได้ว่าจะใช้ไมโครโฟนด้านหน้าหรือด้านหลังในการบันทึกเสียง
    • ฟีเจอร์ Super Steady ช่วยลดการสั่นไหวในขณะถ่ายวิดีโอ
  • มีปากกา S Pen ในตัว
  • รองรับการเชื่อมต่อเครือข่าย Wi-Fi 6, 4G LTE และ 5G
  • รองรับ Bluetooth เวอร์ชัน 5.0
  • Samsung Galaxy Note 20 Ultra มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาดความจุ 4,500 mAh ส่วน Samsung Galaxy Note 20 มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาดความจุ 4,300 mAh ซึ่งทั้ง 2 รุ่นรองรับระบบชาร์จเร็วที่ 25W
  • รองรับการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ (Ultrasonic Fingerprint Sensor)
  • รองรับระบบการสแกนใบหน้า (Face Recognition)
  • ฟีเจอร์ Game Booster สำหรับเกมเมอร์ เรียนรู้รูปแบบลักษณะการใช้งานของผู้ใช้เพื่อปรับแต่งการใช้พลังงานแบตเตอรี่ อุณหภูมิ และหน่วยความจำให้เหมาะสมที่สุด
  • รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด
  • รองรับเทคโนโลยี NFC และ Samsung Pay
  • บอดี้กันน้ำกันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP68 สามารถอยู่ในน้ำลึก 1.5 เมตร ได้นานสูงสุด 30 นาที
  • รองรับฟีเจอร์ลดแสงสีฟ้า กับการจำกัดปริมาณแสงสีฟ้าบนหน้าจอด้วยการเปลี่ยนสีบนหน้าจอให้เป็นสีเหลืองนวล เพื่อลดอาการล้าที่ดวงตาเมื่อใช้เป็นเวลานาน ๆ หรือใช้ในที่แสงน้อย
  • โหมดมืด กับการเปลี่ยนธีมให้เป็นสีทึบ สำหรับการใช้งานในที่แสงน้อยให้สบายตามากขึ้น
  • รองรับฟีเจอร์ Dual Messenger สามารถเชื่อมต่อ 2 บัญชีในแอปฯ เดียวกันได้พร้อมกัน เช่น Facebook, LINE เป็นต้น
  • ฟีเจอร์ Smart Pop-Up View กับการย่อแอปพลิเคชันให้มีขนาดที่เล็กลง สามารถเคลื่อนย้ายตำแหน่งได้อย่างอิสระ, ปรับขนาดได้ หรือทำงานร่วมกับแอปพลิเคชันอื่นไปพร้อม ๆ กันได้
  • รองรับฟีเจอร์ Always On Display
  • รองรับ AR Emoji, AR Doodle และ AR Sticker
  • รองรับ Samsung Knox ระบบรักษาความปลอดภัยมาตรฐานสากล
  • รองรับ Samsung DeX
  • ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 10 และ One UI เวอร์ชัน 2.5

 

จุดที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม

  • Samsung Galaxy Note 20 รองรับอัตรารีเฟรชสูงสุดที่ 60Hz
  • Samsung Galaxy Note 20 ไม่รองรับ microSD card
  • ถาดใส่ซิมการ์ดบน Samsung Galaxy Note 20 Ultra เป็นแบบ Hybrid Slot ทำให้ไม่สามารถใส่ซิมการ์ดที่ 2 ไปพร้อมกับ microSD Card ได้ ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
  • บน Samsung Galaxy Note 20 Ultra หากปรับอัตรารีเฟรชที่ 120 Hz จะเลือกความละเอียดของหน้าจอสูงสุดได้ที่ระดับ FHD+ เท่านั้น แต่ถ้าหากอัตรารีเฟรชอยู่ที่ 60 Hz จะสามารถปรับความละเอียดได้ที่ระดับ QHD+
  • แบตเตอรี่หมดไวพอสมควรเมื่อเลือกปรับอัตรารีเฟรชหน้าจอที่ 120 Hz

 

ข้อควรทราบ : เครื่อง Samsung Galaxy Note 20 l Note 20 Ultra ในบทความรีวิวนี้ เป็นเพียงเครื่องทดสอบเท่านั้น คุณสมบัติบางอย่างอาจยังไม่สมบูรณ์ 100% และอาจไม่ตรงกับตัวเครื่องที่วางจำหน่ายจริง

 

 

------------------------------------

บทความรีวิวโดย : techmoblog.com

Update : 05/10/2020

Samsung Galaxy Note 20 Samsung Galaxy Note 20 Ultra





Cookie Consent

Our website uses cookies to provide your browsing experience and relavent informations.Before continuing to use our website, you agree & accept of our Cookie Policy & Privacy