หน้าแรก >> ข่าวทั้งหมด >> อ่านบทความ/ข่าว

9 เหตุผลที่ทำให้ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus น่าซื้อใช้กว่า iPhone X

ช่วงนี้ใครๆ ต่างก็พูดถึง iPhone X เรือธงไร้ขอบสุดพรีเมียมจาก Apple แม้ต้องรอกันถึงเดือนพฤศจิกายนกว่าจะเริ่มวางจำหน่ายก็ยังได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน iPhone 8 และ iPhone 8 Plus กลับแทบไม่มีใครเหลียวตามองทั้งๆ ที่เปิดตัวมาพร้อมกันและเป็น iPhone รุ่นใหม่เหมือนกัน จริงอยู่ที่ทั้ง iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ไม่ได้มาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เรารู้สึก "ว้าว" แต่การถูกเมินแบบนี้ก็ดูจะน่าสงสารไปหน่อยเพราะแท้จริงแล้ว iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ก็เป็นสมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์ที่ดีไม่แพ้รุ่นอื่นๆ และหากลองพิจารณากันให้ดีๆ แล้วอาจจะน่าซื้อกว่า iPhone X ด้วยซ้ำไป ลองอ่าน 9 เหตุผลด้านล่างดู คุณอาจจะเปลี่ยนใจจาก iPhone X มาเป็น iPhone 8 ก็ได้ครับ

 

1. ทั้ง 3 รุ่นใช้ชิปเซ็ตรุ่นเดียวกัน

หลายคนอาจจะคิดว่า iPhone X ที่เป็น “เรือธงตัวจริง” จะต้องมีประสิทธิภาพเร็วแรงที่สุด แต่จริงๆ แล้ว iPhone ทั้ง 3 รุ่นใช้ CPU รุ่นเดียวกัน คือ Apple A11 Bionic ที่มาพร้อมเทคโนโลยี neural engine และ M11 motion coprocessor เหมือนกันทุกประการ และหากจะวัดกันที่ความแรงอย่างเดียว iPhone 8 ทำคะแนน Benchmark ได้สูงกว่า iPhone X เสียด้วยซ้ำ เพราะมีหน้าจอแสดงผลเล็กกว่า และ CPU ไม่ต้องรับภาระบบสแกนหน้า 3 มิติ Face ID นั่นเอง

 

2. Touch ID สิ ชัวร์กว่า

ตั้งแต่ iPhone 5s เปิดตัวออกมาในปี 2013 พร้อมเทคโนโลยีสแกนนิ้ว Touch ID วิถีการใช้สมาร์ทโฟนของเราก็เปลี่ยนไป เราใช้การสแกนลายนิ้วมือปลดล็อกหน้าจอ ใช้ล็อกอินเข้าใช้แอปพลิเคชันอื่นๆ แทนรหัสผ่าน ไปจนถึงจ่ายเงินผ่านบริการ Apple Pay ระบบนี้มีมานานแล้ว ผู้ใช้ iPhone ต่างก็คุ้นเคยกันดีและรู้ว่ามันปลอดภัยแค่ไหน แต่ระบบ Face ID นั้นตรงกันข้าม มันคือระบบใหม่ที่เพิ่งถูกเพิ่มเข้ามาในสารบบของ Apple และยังไม่มีใครได้ทดสอบอย่างจริงๆ จังๆ นอกจากคนวงใน

จริงอยู่ที่ Apple เคลมว่า Face ID นั้นรัดกุมและหลอกยากกว่า Touch ID ใช้งานได้แม้ในที่มืด และฉลาดพอที่จะคาดเดาความเปลี่ยนแปลงของใบหน้าผู้ใช้ได้ แต่การใช้งานจริงนั้นต่างกับการทดสอบในห้องแล็บ เพราะเมื่อ iPhone X เริ่มไปอยู่ในมือผู้ใช้ทั่วทุกมุมโลก การสแกนใบหน้าด้วย Face ID จะเกิดขึ้นนับล้านๆ ครั้งภายใต้สภาวการณ์ที่ต่างกัน เราไม่อาจรู้เลยว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นบ้าง ซึ่งก็ต้องใช้เวลาสักพักกว่าเทคโนโลยีใหม่นี้จะพิสูจน์ตัวเองและทำให้ผู้ใช้มั่นใจได้

ถ้าคุณไม่อยากเสี่ยงดวงกับ Face ID iPhone 8 และ iPhone 8 Plus อาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าครับ

 

3. iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ก็ชาร์จเร็วและชาร์จไร้สายได้เหมือนกัน

อีกสิ่งหนึ่งที่ iPhone 8, iPhone 8 Plus และ iPhone X มีเหมือนกันคือการรองรับระบบชาร์จไร้สายมาตรฐาน Qi และระบบชาร์จเร็ว อย่างไรก็ตาม เราจำเป็นต้องซื้ออุปกรณ์ชาร์จเพิ่มเพื่อใช้งานฟีเจอร์ดังกล่าว ซึ่งก็มีราคาตั้งแต่ 800 - 2,500 บาท หมายความว่าหากเรามีงบ 35,000 บาทสำหรับ iPhone X เปล่าๆ เครื่องเดียว เราสามารถเอาไปซื้อ iPhone 8 Plus ราคาประมาณ 28,000 บาท (ที่ไม่ใช่เครื่องหิ้ว) พร้อมอุปกรณ์ชาร์จอีก 2,500 บาทได้ แถมยังมีเงินเหลืออีกต่างหาก

 

4. กล้องหลังของ iPhone 8 Plus และ iPhone X ถ่ายภาพสวยพอๆ กัน

สำหรับผู้ที่รักการถ่ายรูป กล้องคู่ด้านหลังของ iPhone 8 Plus และ iPhone X มีประสิทธิภาพสูสีกัน สิ่งเดียวที่แตกต่างคือกล้องคู่ของ iPhone X จะมีระบบกันสั่น OIS 2 ตัวทั้งเลนส์ Wide และ Telephoto ส่วน iPhone 8 plus มี OIS แค่เลนส์ Wide เลนส์เดียวเหมือนกับ iPhone 7 Plus ซึ่งหากวัดกันจริงๆ แล้วก็ถือว่าไม่ได้ย่ำแย่อะไร แถมกล้อง iPhone 8 Plus ยังเพิ่งได้ตำแหน่งกล้องมือถือที่ดีที่สุดในโลกจาก DxOMark ด้วย

 

5. กล้องหน้าก็แทบไม่ต่างกัน

ตามสเปกชีต กล้องหน้า FaceTime HD ของ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus มีฟังก์ชันการทำงานเหมือนกับกล้อง TrueDepth ของ iPhone X ไม่มีผิดเพี้ยน โดยทั้งคู่มีความละเอียด 7 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้างสูงสุด f/2.2 และถ่ายวิดีโอ Full HD ได้ ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวที่มีอยู่คือกล้องหน้าของ iPhone X รองรับโหมด Portrait และ โหมด Portrait Lightning เช่นเดียวกับกล้องหลัง และลูกเล่นน่ารักๆ อย่าง Animoji ซึ่งถ้าไม่ได้ซีเรียสกับฟีเจอร์เหล่านี้ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ก็น่าจะเพียงพอกับการใช้งานแล้วครับ

 

6. iPhone 8 ไม่มีแถบเซ็นเซอร์ยื่นๆ มากวนใจ

เท่าที่เห็นมาเจ้าแถบเซ็นเซอร์ยื่นๆ ของ iPhone X เป็น “ของใหม่” ที่ถูกพูดถึงมากกว่าจอไร้ขอบหรือกล้องคู่เสียอีก แม้ว่ามันจะจำเป็นในฐานะที่อยู่ของสารพัดเซ็นเซอร์สำหรับใช้งาน Face ID แต่ดูเหมือนหลายคนจะรับไม่ได้จริงๆ ซึ่งหากคุณเป็นหนึ่งในนั้น iPhone 8 และ iPhone 8 Plus คือคำตอบของคุณครับ

 

7. iPhone X แพงกว่าเยอะ

iPhone 8 มีราคาเริ่มต้นประมาณ 25,000 บาท ส่วน iPhone 8 Plus เริ่มต้นที่ 28,000 บาท และ iPhone X เริ่มต้นที่ราวๆ 35,000 บาท เห็นชัดๆ ว่าราคาต่างกันเกือบหมื่น แต่เอาเข้าจริงแล้วประสิทธิภาพการใช้งานก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก ถ้าไม่ติดว่าต้องการใช้ Face ID และดีไซน์ไร้ขอบจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายแพงกว่าครับ

 

8. เคสเก่า iPhone 7 ใช้กับ iPhone 8 ได้

iPhone 8 และ iPhone 8 Plus มีขนาดและรูปทรงเกือบจะเหมือนกับ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus โดยมีความแตกต่างกันไม่ถึง 1 มิลลิเมตร ดังนั้นถ้าคุณมีเคสของ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus อยู่แล้วก็เอามาใช้แทนกันได้เลย

ในขณะเดียวกัน iPhone X ได้รับการปรับเปลี่ยนดีไซน์ใหม่ทั้งหมดจนมีขนาดตัวเครื่องที่ไม่เหมือนรุ่นใดๆ ที่ผ่านมา ถ้าจะใส่เคสก็ต้องซื้อใหม่เท่านั้น ซึ่งลำพังตัว iPhone X ก็แพงอยู่แล้ว หากคุณมีงบประมาณจำกัดก็ต้องลองพิจารณากันดูครับ

 

9. หาซื้อง่าย ไม่ต้องแย่งกัน

ด้วยความที่ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus มีดีไซน์ที่เหมือนกับรุ่นก่อนหน้าแทบทุกกระเบียดนิ้ว และไม่น่าตื่นตาตื่นใจเท่า iPhone X ทำให้ตอนนี้คนส่วนใหญ่ต่างก็ยั้งใจรอซื้อ iPhone X กันทั้งนั้น ซึ่งกว่าจะวางขายจริงๆ ก็ต้นเดือนพฤศจิกายน กว่าจะเข้าไทยก็ต้องรอไปอีก แถมยังต้องแย่งกันสุดๆ เพราะมีข่าวว่า iPhone X จะผลิตได้แค่วันละ 10,000 เครื่องเท่านั้น ยังไงก็ไม่มีทางรองรับความต้องการมหาศาลได้อย่างแน่นอน หากจะพูดว่าจองปลายปีนี้ได้เครื่องกลางปีหน้าก็ยังไม่ถือว่าเกินจริงแต่อย่างใด

ในขณะที่คนส่วนใหญ่เทความสนใจไปที่พระเอก iPhone X พระรองที่ถูกเมินอย่าง iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ก็ยังคงรอคอยใครสักคนมาจับจองเป็นเจ้าของอยู่เต็มสต็อก หากเดินเข้าไปในสโตร์ก็อาจจะจ่ายเงินซื้อได้เดี๋ยวนั้นเลย หรือจะสั่งซื้อผ่านเว็บไซต์ก็รอไม่นานเท่า iPhone X แน่ๆ ไม่ต้องไปแย่งกันให้ลำบากครับ

 

---------------------------------------
ที่มา : The Independent

แปลและเรียบเรียง : techmoblog.com

Update : 25/09/2017

iPhone iPhone 8 iPhone X iPhone 8 Plus





Cookie Consent

Our website uses cookies to provide your browsing experience and relavent informations.Before continuing to use our website, you agree & accept of our Cookie Policy & Privacy