หน้าแรก >> ข่าวทั้งหมด >> อ่านบทความ/ข่าว

[รีวิว] Samsung Galaxy Note 9 มือถือเรือธงรุ่นล่าสุด ด้วยปากกา S Pen อัปเกรดใหม่, ชิปเซ็ตตัวท็อป และบอดี้กันน้ำจอใหญ่ขึ้น 6.4 นิ้ว ในราคา 33,900.-

วางจำหน่ายในไทยอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ Samsung Galaxy Note 9 มือถือเรือธงเพื่อการขีดเขียนรุ่นส่งท้ายปีจาก Samsung ซึ่งที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า Samsung Galaxy Note-Series นั้น เป็นสมาร์ทโฟนที่มาพร้อมกับฟังก์ชันปากกาที่ยอดเยี่ยมที่สุด ด้วยคุณสมบัติของปากกา S Pen ที่นอกเหนือจากจะใช้เพื่อการขีดเขียน, วาดภาพ รวมถึงทำให้การจดโน้ตต่าง ๆ ทำได้ง่ายขึ้นและสะดวกขึ้นแล้ว ปากกา S Pen บน Samsung Galaxy Note 9 เวอร์ชันนี้ ยังรองรับการใช้งานในด้านอื่น ๆ ด้วย จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า ปากกา S Pen คือจุดขายหลักของ Samsung Galaxy Note 9 นั่นเอง

สำหรับดีไซน์ของ Samsung Galaxy Note 9 นั้น ถ้ามองในภาพรวมจะถือว่า ไม่แตกต่างจาก Samsung Galaxy Note 8 เท่าใดนัก โดยเฉพาะด้านหน้าตัวเครื่องที่ค่อนข้างจะถอดแบบมาจากรุ่นเดิม จะแตกต่างกันก็ตรงด้านหลังตัวเครื่องที่มีการย้ายตำแหน่งของเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือให้มาอยู่ใต้เลนส์ เพื่อให้ใช้งานได้สะดวกมากกว่าเดิมนั่นเอง ในส่วนของสเปกนั้น ถือว่าอัปเกรดจากรุ่นเดิมไม่น้อย ทั้งหน้าจอแสดงผลที่ใหญ่ขึ้น อยู่ที่ 6.4 นิ้ว แบบ Super AMOLED ความละเอียด 2960 x 1440 พิกเซล บนอัตราส่วน 18:5:9, ชิปเซ็ต Exynos 9810 แบบ Octa-Core Processor ความเร็ว 2.7 GHz, หน่วยประมวลผลภาพกราฟิก Mali-G72 MP18 GPU, หน่วยความจำ RAM ขนาด 6 GB, หน่วยความจำ ROM ขนาด 128 GB รองรับ microSD Card สูงสุด 512 GB และแบตเตอรี่ขนาด 4,000 mAh พร้อมรองรับระบบชาร์จเร็ว Quick Charge 2.0 และการชาร์จไร้สาย

ในส่วนของกล้องถ่ายรูปนั้น ถือว่ามีคุณสมบัติไม่ต่างจาก Samsung Galaxy S9+ มากนัก แต่มีการเพิ่มเทคโนโลยี Recognizable AI เข้ามาที่กล้องด้านหลัง โดยกล้องด้านหน้า ความละเอียดอยู่ที่ 8 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงกว้าง F/1.7 ส่วนกล้องด้านหลัง เป็นกล้องคู่แบบ Super Speed Dual Pixel Sensor (Dual-Camera) ความละเอียด 12+12 ล้านพิกเซล ซึ่งกล้องตัวแรก (Wide Angle) มาพร้อมกับรูรับแสงแบบ Dual Aperture ขนาด F/1.5 และ F/2.4 ส่วนกล้องตัวที่สอง (Telephoto) มาพร้อมกับรูรับแสงขนาด F/2.4 นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ Flaw Detection สำหรับตรวจจับภาพหลังจากถ่ายเสร็จว่า ภาพที่ได้เบลอหรือไม่, มีคนกระพริบตาหรือไม่ (จับคนกระพริบตาได้สูงสุด 3 คน), ภาพย้อนแสงหรือไม่ หรือเลนส์กล้องมัว ก็จะมีคำแนะนำให้ถ่ายใหม่ เพื่อให้ได้ภาพที่ดีที่สุด และฟังก์ชัน Scene Optimization กับการตรวจจับฉากและวัตถุที่ถ่ายภาพว่า ที่กำลังถ่ายอยู่นั้นคือฉากแบบไหน เพื่อจะทำการปรับสีให้อัตโนมัติและเป็นธรรมชาติมากที่สุด ซึ่งสามารถตรวจจับได้สูงสุด 20 ฉาก

ด้านปากกา S Pen ถือว่า ได้รับการอัปเกรดให้ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนอย่างมาก ด้วยการรองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth แล้ว อีกทั้งยังรองรับการใช้งานในหลาย ๆ ด้านนอกเหนือจากการขีดเขียนเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็น สามารถใช้เป็นชัตเตอร์กล้อง, ควบคุมการนำเสนองานต่าง ๆ ได้ (Presentation), กดที่ตัวปากกาแล้วสามารถอัดเสียงใส่ปากกาได้เลย, สามารถตั้งค่าการกดปากกาเพื่อเปิดใช้งานแอปพลิเคชันต่าง ๆ  และอื่น ๆ อีกมากมาย ส่วนการชาร์จแบตเตอรี่บนปากกา S Pen ทำได้ด้วยการเสียบกลับเข้าไปในตัวเครื่อง โดยกินพลังงานแบตเตอรี่ของเครื่องราว ๆ 0.5 mAh ซึ่งการชาร์จ 40 วินาที สามารถใช้งานได้นาน 30 นาที (กดได้ราว ๆ 200 ครั้ง)

ก่อนหน้านั้น ทีมงาน techmoblog ได้พรีวิว Samsung Galaxy Note 9 ให้อ่านกันแบบคร่าว ๆ ไปแล้ว วันนี้มาชม รีวิว Samsung Galaxy Note 9 ฉบับเต็มกันบ้าง เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการตัดสินใจให้เลือกซื้อกันมากขึ้น คุ้มหรือไม่ถ้าหากจะเปลี่ยนมาใช้ Samsung Galaxy Note 9 มาชมกันเลยดีกว่า

 

สรุปคะแนนทดสอบจากทีมงาน

 

สเปก Samsung Galaxy Note 9
  • หน้าจอแสดงผลกว้าง 6.4 นิ้ว แบบ Quad HD+ Super AMOLED Capacitive Touchscreen 16.7 ล้านสี ความละเอียด 2960 x 1440 พิกเซล (516 ppi), อัตราส่วน 18:5:9
  • ชิปเซ็ต Exynos 9810 แบบ Octa-Core Processor ความเร็ว 2.7 GHz
  • หน่วยประมวลผลภาพกราฟิก Mali-G72 MP18 GPU
  • หน่วยความจำ RAM ขนาด 6 GB
  • หน่วยความจำ ROM ขนาด 128 GB รองรับ microSD Card สูงสุด 512 GB
  • กล้องด้านหน้า ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล, รูรับแสง F/1.7
  • กล้องคู่ด้านหลังแบบ Super Speed Dual Pixel Sensor (Dual-Camera)
    • กล้องตัวแรก (Wide Angle) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล, รูรับแสงแบบ Dual Aperture ขนาด F/1.5 และ F/2.4
    • กล้องตัวที่ 2 (Telephoto) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล, รูรับแสงขนาด F/2.4
    • ระบบโฟกัสภาพแบบ Phase Detection Autofocus (PDAF)
    • ระบบป้องกันภาพสั่นไหวคู่แบบ Dual OIS (Optical Image Stabilization)
    • ไฟแฟลชแบบ LED Flash
  • แบตเตอรี่ขนาด 4,000 mAh พร้อมรองรับระบบชาร์จเร็ว Quick Charge 2.0 และการชาร์จไร้สาย
  • รองรับ Samsung Pay และ NFC
  • ปากกา S Pen รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth แล้ว
    • สามารถใช้เป็นชัตเตอร์กล้อง
    • ควบคุมการนำเสนองานต่าง ๆ (Presentation)
    • ใช้อัดเสียงได้
    • ชาร์จปากกา S Pen 40 วินาที สามารถใช้งานได้นาน 30 นาที
  • รองรับการสแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลังตัวเครื่อง
  • ระบบการสแกนอัจฉริยะ (Intelligent Scan) การยืนยันตัวตนรูปแบบใหม่ด้วยการรวมระบบสแกนม่านตากับการจดจำใบหน้าเข้าด้วยกัน ทำให้สามารถปลดล็อกได้อย่างรวดเร็วในทุกสภาพแสง
  • รองรับ AR Emoji มีให้เลือก 54 แบบ
  • รองรับ Bixby เวอร์ชัน 2.0
  • รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด และรองรับเครือข่าย 4G LTE ทั้ง 2 ซิม (Hybrid Slot)
  • คุณสมบัติด้านการกันน้ำ และกันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP68 (สามารถอยู่ในน้ำลึก 1.5 เมตร นาน 30 นาที)
  • ลำโพงเสียงคู่สเตอริโอจาก AKG และระบบเสียง Dolby Atmos
  • ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 8.1 (Oreo) และอินเทอร์เฟส Samsung Experience เวอร์ชัน 9.5
  • ราคา 33,900 บาท

>> สเปก Samsung Galaxy Note 9 อย่างละเอียด คลิกที่นี่

 

รีวิว Samsung Galaxy Note 9 : ดีไซน์ และการออกแบบ

Samsung Galaxy Note 9 มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 6.4 นิ้ว แบบ Super AMOLED พร้อมเทคโนโลยี Infinity Display ความละเอียด 2960 x 1440 พิกเซล (QHD+) บนอัตราส่วน 18.5:9 ซึ่งถือว่า เป็นรุ่นที่มีขนาดหน้าจอใหญ่ที่สุดในบรรดามือถือ Samsung ทุกรุ่นในตอนนี้ โดยมีขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 161.9 x 76.4 x 8.8 มิลลิเมตร และน้ำหนัก 201 กรัม

ด้านบนของหน้าจอแสดงผล ประกอบด้วย ไฟ LED แสดงสถานะการทำงาน, เซ็นเซอร์ต่าง ๆ, ลำโพงสำหรับสนทนา, กล้องด้านหน้า ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล และเซ็นเซอร์สแกนม่านตา (Iris Scanner)

ด้านล่างของหน้าจอแสดงผล เป็นปุ่มควบคุมการทำงานแบบ On-Screen ประกอบด้วย ปุ่ม Recent Apps, ปุ่ม Home และปุ่มย้อนกลับ

ด้านขวาของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ปุ่ม Power สำหรับเปิด-ปิดตัวเครื่อง หรือล็อกหน้าจอแสดงผล ส่วนด้านซ้ายของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่ม Bixby เรียกใช้งานผู้ช่วยอัจฉริยะ

ด้านบนของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Hybrid Slot ซึ่งรองรับซิมการ์ดที่ 1, ซิมการ์ดที่ 2 และ microSD Card (แต่ไม่สามารถใส่ซิมการ์ดที่ 2 และ microSD Card ได้พร้อมกัน) และไมโครโฟนตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวนรอบข้าง ส่วนด้านล่างของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ช่องหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร, พอร์ต USB-C, ไมโครโฟนหลักสำหรับสนทนา, ลำโพงเสียง และช่องเก็บปากกา S Pen

ความพิเศษของ Samsung Galaxy Note 9 สี Ocean Blue ก็คือ หัวปากกาจะเป็นสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นสีเดียวกับตัวเครื่อง ในขณะที่ด้ามปากกาจะเป็นสีเหลืองสด แตกต่างจากตัวเครื่องสีอื่นที่ปากกา S Pen จะเป็นสีเดียวกับตัวเครื่อง

ด้านหลังตัวเครื่องนั้น ยังคงเป็นบอดี้แบบโลหะครอบทับด้วยกระจกแบบ Metal-Glass พร้อมคุณสมบัติในการป้องกันน้ำและฝุ่นตามมาตรฐาน IP68 เช่นเดิม ซึ่งกล้องด้านหลังบน Samsung Galaxy Note 9 เป็นกล้องคู่แบบเดียวกับ Samsung Galaxy S9+ ประกอบด้วย เลนส์ Wide Angle ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ที่มาพร้อมกับรูรับแสงแบบ Dual Aperture ขนาด F/1.5 และ F/2.4 กับเลนส์ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ขนาดรูรับแสง F/2.4 พร้อมระบบกันภาพสั่นแบบ Dual OIS

ส่วนเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ได้มีการย้ายตำแหน่งมาอยู่ใต้กล้องแทนแล้ว เพื่อแก้ปัญหาที่นิ้วมักจะไปโดนเลนส์กล้องขณะใช้งาน ทำให้สามารถสแกนลายนิ้วมือได้สะดวกมากขึ้นกว่าเดิม

สำหรับอุปกรณ์เสริมของ Samsung Galaxy Note 9 จำพวก เคสและกระจกกันรอย ตอนนี้ก็มีให้เลือกกันบ้างแล้ว ยกตัวอย่างเคสที่นำมารีวิวในครั้งนี้ ก็คือ Leather Wallet Cover ซึ่งเป็นเคสฝาปิด หนังแท้จากอิตาเลียน โดยเมื่อพับเคสปิด หน้าจอก็จะดับตามไปด้วย ส่วนด้านหลังจะมีการเว้นช่องว่างสำหรับกล้อง และเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ

เช่นเดียวกับกระจกกันรอย ในตอนนี้ทาง Focus ก็มี กระจกกันรอย 3D Full Stick ซึ่งเป็นกระจกกันรอยซิลิโคนเต็มจอลงโค้ง ที่ถูกออกแบบมาเพื่อมือถือขอบจอโค้งโดยเฉพาะนั่นเอง นอกจากจะเป็นซิลิโคนเต็มแผ่นที่แนบสนิทกับจอแล้ว ยังป้องกันไม่ให้ฝุ่นเข้า, ขอบไม่เด้งหลุดง่าย, ทัชง่าย ไม่สะดุด และรองรับการใส่เคสทุกรูปแบบอีกด้วย

 

รีวิว Samsung Galaxy Note 9 : ทดสอบปากกา S Pen

สำหรับปากกา S Pen นั้น ถือว่าเป็นไฮไลต์เด่นของ Samsung Galaxy Note 9 เลยก็ว่าได้ ด้วยการเปลี่ยนปากกาธรรมดา ๆ ให้รองรับคุณสมบัติในการเชื่อมต่อ Bluetooth รวมถึงสามารถสั่งการในระยะไกลได้เป็นครั้งแรก ซึ่งทำงานในระยะไกลสุดที่ 10 เมตร และรองรับแรงกดถึง 4,096 ระดับ อีกทั้งการชาร์จก็ทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่เสียบกลับเข้าไปในตัวเครื่องเท่านั้น และมาพร้อมเทคโนโลยี Bluetooth Low Energy (BLE) ที่ใช้พลังงานต่ำเพียง 0.5 mAh ซึ่งการชาร์จ 40 วินาที สามารถใช้งานได้นาน 30 นาที (กดได้ราว ๆ 200 ครั้ง)

เนื่องจากปากกา S Pen บน Samsung Galaxy Note 9 รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth แล้ว ทำให้มีฟีเจอร์เพิ่มเข้ามามากมาย มาดูกันดีกว่าว่า มีอะไรกันบ้าง

สามารถกดค้างที่ปุ่มปากกาเพื่อเปิดใช้งานแอปพลิเคชันโปรด (ตามการตั้งค่า) ยกตัวอย่างเช่น กดค้างเพื่อเปิดกล้องถ่ายรูป นอกจากนี้ เมื่อเปิดแอปฯ ดังกล่าวแล้ว ยังสามารถกดสั่งการที่ตัวปากกาได้อีก เช่น แอปฯ กล้องถ่ายรูป กด 1 ครั้งเพื่อถ่ายรูป หรือกด 2 ครั้งเพื่อสลับกล้อง เป็นต้น

นอกจากนี้ ปุ่มที่ปากกายังสามารถสั่งการแอปฯ อื่น ๆ ได้อีก เช่น แอปฯ Gallery กด 1 ครั้งเพื่อดูภาพถัดไป / กด 2 ครั้งเพื่อดูภาพก่อนหน้า หรือแอปฯ เพลง กด 1 ครั้งเพื่อเล่นเพลง-หยุดเพลง / กด 2 ครั้งเพื่อเล่นเพลงถัดไป เป็นต้น

ในส่วนของ Air Command ซึ่งเป็นเมนูลัดสำหรับปากกา S Pen ยังคงรองรับเมนูที่ผู้ใช้ Galaxy Note ส่วนใหญ่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว อย่างเช่น สร้างบันทึก (Create Note), ดูบันทึกทั้งหมด (View All Notes), การเลือกอัจฉริยะ (Smart Select), การเขียนบนหน้าจอ (Screen Write), Live Message หรือ แปลภาษา (Translate) เป็นต้น ซึ่งผู้ใช้สามารถเพิ่มเมนูลัดที่ใช้งานบ่อยได้ตามการใช้งาน

ฟีเจอร์ใหม่แกะกล่องอย่าง PENUP เป็นแอปพลิเคชันน้องใหม่สำหรับสร้างงานศิลปะ ซึ่งด้านในจะมีตัวเลือกให้ใช้งาน เช่น การลงสี ซึ่งจะมีภาพสำเร็จรูปมาให้ และเลือกลงสีได้ตามใจ ส่วนอีกอันก็คือ การวาดภาพสด ซึ่งเป็นแอปฯ ที่เหมาะสำหรับผู้ที่วาดรูปไม่เก่ง หรือเพิ่งหัดวาดรูป

สำหรับเมนูการวาดภาพสด จะมีลักษณะคล้ายกับกระดาษลอกลายให้ผู้ใช้สามารถวาดตามรูปที่มีอยู่แล้วได้ ซึ่งจะเป็นคลิปวิดีโอสอนการวาดภาพตาม step ซึ่งผู้ใช้สามารถกด pause เพื่อหยุดชั่วคราวและวาดตามได้เช่นกัน

สำหรับฟีเจอร์ Live Message นั้น เป็นฟีเจอร์เดิมที่มีอยู่แล้วบน Samsung Galaxy Note 8 กับการวาดภาพ, เขียนตัวอักษร หรือเขียนข้อความบนภาพถ่าย แล้วบันทึกภาพเป็นไฟล์ GIF เพื่อส่งต่อให้เพื่อนได้ ซึ่งฟีเจอร์ Live Message บน Samsung Galaxy Note 9 ได้มีการเพิ่มเอฟเฟกต์ปากกาเข้ามา 3 อย่างด้วยกัน ได้แก่ รูปหัวใจ, เกล็ดหิมะ และสายรุ้ง

ความพิเศษของปากกา S Pen บน Samsung Galaxy Note 9 จากเดิมที่หมึกบนหน้าจอเป็นสีขาว ก็ถูกพัฒนาให้เป็นหมึกสีเดียวกับตัวปากกา อย่างเช่น ปากกาสีเหลือง หมึกก็จะเป็นสีเหลือง ยกเว้นปากกาสีดำ ที่ตัวหมึกยังคงเป็นสีขาวเหมือนเดิม แต่ถ้าหากอยากได้หมึกสีอื่น ก็ต้องซื้อปากกาเพิ่มเองต่างหาก

นอกเหนือจากการขีดเขียนแล้ว ปากกา S Pen บน Samsung Galaxy Note 9 ยังรองรับการทำงานในด้านอื่น ๆ อีก ไม่ว่าจะเป็น

  • สามารถใช้เป็นชัตเตอร์กล้อง ซึ่งสะดวกมากเวลาใช้ถ่ายรูปโดยไม่จำเป็นต้องเอื้อมมือไปกดปุ่มชัตเตอร์ที่ตัวสมาร์ทโฟน
  • สามารถใช้ปากกา S Pen ควบคุมการนำเสนองานต่าง ๆ ได้ (Presentation)
  • กดที่ตัวปากกาแล้วสามารถอัดเสียงใส่ปากกาได้เลย และจะทำการบันทึกเก็บในตัวเครื่องให้อัตโนมัติ
  • มีฟังก์ชันแจ้งเตือนในกรณีที่ปากกาถูกดึงออกจากเครื่อง หรือไม่ได้วางอยู่ใกล้ตัวเครื่อง
  • สามารถใช้ปากกา S Pen เขียนลงใน AR Emoji ได้แล้ว
  • ถ้าหากเปิด Airplane Mode จะไม่สามารถใช้ปากกาได้ แต่สามารถเข้าไปตั้งค่าแบบ manual ใน Settings ได้
  • รองรับการกันน้ำตามมาตรฐาน IP68 เช่นเดียวกับตัวเครื่อง

 

รีวิว Samsung Galaxy Note 9 : อินเทอร์เฟส และการใช้งานเบื้องต้น

Samsung Galaxy Note 9 ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 8.1 (Oreo) และอินเทอร์เฟส Samsung Experience เวอร์ชัน 9.5

สามารถเลือกวอลเปเปอร์, ธีม, Widget และไอคอนได้ตามใจชอบ

ในส่วนของฟังก์ชันการแจ้งเตือนนั้น สามารถเข้าสู่เมนูลัดสำหรับตั้งค่าการใช้งานในเบื้องต้นได้หลากหลาย ทั้ง Wi-Fi, Bluetooth, ล็อกการหมุนของหน้าจอ, ไฟฉาย, Airplane Mode และอื่น ๆ 

Samsung Galaxy Note 9 รองรับ Bixby เวอร์ชัน 2.0 ซึ่งมีปุ่มสำหรับกดเข้าใช้งาน Bixby ที่ด้านซ้ายของตัวเครื่อง ซึ่งในหน้า Bixby Home นั้น ด้านในจะประกอบด้วยคอนเทนต์ต่าง ๆ ที่ผู้ใช้ให้ความสนใจ รวมถึงข้อมูลและกิจกรรมต่าง ๆ ของผู้ใช้จะถูกรวมมาไว้ในหน้าเดียว

สำหรับ App Drawer หรือแหล่งรวมแอปพลิเคชันทั้งหมดในตัวเครื่อง ให้แตะที่หน้าจอแล้วปัดขึ้น

ตรงขอบด้านขวาของหน้าจอ ใกล้ ๆ กับตำแหน่งของปุ่ม Power จะเป็น Apps Edge หรือทางลัดเข้าถึงแอปพลิเคชันที่มีอยู่ในตัวเครื่อง แอปฯ ไหนที่คิดว่าใช้งานบ่อย สามารถเลือกให้มาอยู่ในส่วนนี้ได้

ด้านแอปพลิเคชันพื้นฐานจากทั้ง Samsung, Microsoft และ Google ก็ได้รับการติดตั้งแล้วในตัวเครื่อง ไม่ต้องดาวน์โหลดเพิ่มเติมแต่อย่างใด

Samsung Galaxy Gift แอปพลิเคชันที่มาพร้อมกับส่วนลดและดีลพิเศษจากร้านค้าชั้นนำมากมาย ซึ่งเป็นสิทธิพิเศษสำหรับผู้ใช้ Samsung Galaxy เท่านั้น

ฟีเจอร์ Multi Window และ App Pair จับคู่แอปฯ ที่ใช้งานบ่อยให้แสดงผลพร้อมกันได้ 2 หน้าจอ โดยไม่ต้องสลับแอปฯ ไปมา

Dual Messenger สามารถเชื่อมต่อ 2 บัญชีในแอปฯ เดียวกันได้พร้อมกัน เช่น Facebook, LINE เป็นต้น

Samsung Galaxy Note 9 รองรับฟังก์ชันตัวกรองแสงสีฟ้า เพื่อลดอาการล้าที่ดวงตาด้วยการจำกัดปริมาณแสงสีฟ้าที่แผ่ออกมาจากหน้าจอ ซึ่งเมื่อเปิดใช้งานฟังก์ชันดังกล่าว หน้าจอจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองนวลอมส้ม นอกจากนี้ ยังสามารถเลือกรูปแบบและปรับแต่งการแสดงผลของหน้าจอได้อีกด้วย 

ในด้านความปลอดภัยนั้น Samsung Galaxy Note 9 รองรับทั้งการสแกนลายนิ้วมือ (ที่ด้านหลังตัวเครื่อง) รวมถึงระบบการสแกนอัจฉริยะ (Intelligent Scan) ด้วยการรวมระบบสแกนม่านตา (Iris Scanner) กับการจดจำใบหน้าเข้าด้วยกัน ทำให้สามารถปลดล็อกได้อย่างรวดเร็วในทุกสภาพแสง

นอกจากนี้ ยังรองรับโหมดการใช้งานมือเดียว และ Always On Display

Smart Manager แอปพลิเคชันสำหรับดูแลและบำรุงรักษาอุปกรณ์ ซึ่งสามารถปรับการตั้งค่าได้หลายส่วนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น แบตเตอรี่, พื้นที่จัดเก็บในภายตัวเครื่อง, เคลียร์ RAM, สถานะความปลอดภัย และควบคุมปริมาณการรับส่งข้อมูลผ่านเครือข่าย

ทดสอบประสิทธิภาพในการประมวลผลด้วยการเล่นเกมยอดนิยมอย่าง PUBG Mobile ด้วยการปรับกราฟิกที่ระดับ HDR HD และเฟรมเรทสูงสุด พบว่า สามารถเล่นได้อย่างลื่นไหล แม้จะมีบางส่วนที่สะดุดบ้าง แต่ไม่ส่งผลต่อการใช้งานแต่อย่างใด

สำหรับการทดสอบ Benchmark บน Samsung Galaxy Note 9 ด้วยโปรแกรม AnTuTu ทำได้ 204,781 คะแนน, โปรแกรม Geekbench ทำได้ 2,291 คะแนนสำหรับการทดสอบแบบ Single-Core และ 8,213 คะแนนสำหรับการทดสอบแบบ Multi-Core

ส่วนระบบมัลติทัช รองรับที่ 10 จุด

 

รีวิว Samsung Galaxy Note 9 : ทดสอบกล้องถ่ายรูป

สำหรับกล้องด้านหน้าบน Samsung Galaxy Note 9 มาพร้อมกับความละเอียด 8 ล้านพิกเซล และรูรับแสงขนาด F/1.7 เท่ากับ Samsung Galaxy Note 9 ซึ่งมาพร้อมกับโหมดถ่ายภาพที่คุ้นเคยกันดี ไม่ว่าจะเป็น Selfie, AR Emoji, Selfie Focus และโหมดถ่ายภาพตนเองแบบกว้าง ซึ่งโหมด Selfie นั้น สามารถเลือกปรับระดับของสีผิว, ใบหน้า, ดวงตา และสปอร์ตไลท์ ได้สูงสุด 8 ระดับ

ส่วนโหมด Selfie Focus หรือโหมดถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ สามารถปรับระดับของสี และสีผิวได้สูงสุด 8 ระดับเช่นกัน

Samsung Galaxy Note 9 รองรับฟีเจอร์ AR Emoji ที่ได้รับการอัปเกรดใหม่ให้มีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น และมีของแต่งอย่างเช่น เสื้อผ้า, หน้า, ทรงผม มาให้เลือกมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่ง AR Emoji บน Samsung Galaxy Note 9 จะมีให้เลือกมากถึง 54 แบบ มากกว่าบน Samsung Galaxy S9 ที่มีให้เลือกเพียง 36 แบบเท่านั้น แต่ต้องรอการอัปเดตเสียก่อน

นอกจากนี้ ยังสามารถสร้างสติกเกอร์ และเอฟเฟกต์ต่าง ๆ ให้กับภาพถ่ายได้เช่นกัน

สำหรับกล้องด้านหลังบน Samsung Galaxy Note 9 เป็นกล้องคู่แบบเดียวกับ Samsung Galaxy S9+ ประกอบด้วย เลนส์ Wide Angle ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ที่มาพร้อมกับรูรับแสงแบบ Dual Aperture ขนาด F/1.5 และ F/2.4 กับเลนส์ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ขนาดรูรับแสง F/2.4 พร้อมระบบกันภาพสั่นแบบ Dual OIS

ด้านโหมดการถ่ายภาพก็มีให้เลือกใช้มากมายเช่นกัน และสามารถใส่เอฟเฟกต์ให้กับภาพถ่ายได้อีกด้วย

ไม่เพียงเท่านั้น กล้องด้านหลังบน Samsung Galaxy Note 9 ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี Recognizable AI ซึ่งเป็นมือถือซัมซุงรุ่นแรก และรุ่นเดียว (ในตอนนี้) ที่รองรับเทคโนโลยีดังกล่าว ด้วยฟังก์ชัน Scene Optimization กับการตรวจจับฉากและวัตถุที่ถ่ายภาพว่า ที่กำลังถ่ายอยู่นั้นคือฉากแบบไหน เพื่อจะทำการปรับสีให้อัตโนมัติและเป็นธรรมชาติมากที่สุด ซึ่งสามารถตรวจจับได้สูงสุด 20 ฉาก (สังเกตได้จากสัญลักษณ์ที่ปรากฏตรงด้านล่าง)

นอกจากนี้ ยังมีระบบ Flaw Detection สำหรับตรวจจับภาพหลังจากถ่ายเสร็จแล้วว่า ภาพที่ได้เบลอหรือไม่, มีคนกระพริบตาหรือไม่ (จับคนกระพริบตาได้สูงสุด 3 คน), ภาพย้อนแสงหรือไม่ หรือเลนส์กล้องมัว ก็จะมีคำแนะนำให้ถ่ายใหม่ เพื่อให้ได้ภาพที่ดีที่สุดนั่นเอง

สำหรับโหมด Live Focus หรือการถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอด้วยกล้องคู่ด้านหลัง สามารถปรับความเบลอของฉากหลังได้สูงสุด 7 ระดับ และสามารถนำมาปรับแต่งความเบลอได้เองในภายหลัง รวมถึงเปลี่ยนเอฟเฟกต์การเบลอให้เป็นรูปแบบอื่น ๆ ได้ เช่น รูปหัวใจ, รูปดาว เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังสามารถตั้งค่ากล้องถ่ายรูปได้ตามรูปแบบการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น ขนาดรูปภาพ (ทั้งกล้องด้านหน้า และกล้องด้านหลัง), ขนาดวิดีโอ (ทั้งกล้องด้านหน้า และกล้องด้านหลัง), ตัวจับเวลา, แท็กสถานที่, ฟังก์ชันเปิดกล้องด่วน และอื่น ๆ

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้า โหมด Selfie Focus ปรับความเนียนของผิวระดับ 4

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้า โหมด Selfie ปรับความเนียนของผิวระดับ 8

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้า โหมด Selfie Focus ปรับความเนียนของผิวระดับ 8

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องคู่ด้านหลัง โหมด Live Focus

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องคู่ด้านหลัง โหมดอัตโนมัติ

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องคู่ด้านหลัง โหมดอัตโนมัติ

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องคู่ด้านหลัง โหมดอัตโนมัติ

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องคู่ด้านหลัง โหมดอัตโนมัติ

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องคู่ด้านหลัง โหมดอัตโนมัติ (ในร่ม)

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องคู่ด้านหลัง โหมดอัตโนมัติ (ในร่ม)

 

เปรียบเทียบสเปกของ Samsung Galaxy Note 9 กับ Galaxy Note 8

 

บทสรุปการใช้งาน

จากบทความรีวิวในข้างต้น จะเห็นได้ว่า Samsung Galaxy Note 9 นั้น ถือว่าเป็นการรวมเอาจุดเด่นของมือถือเรือธงรุ่นพี่อย่าง Samsung Galaxy Note 8 และ Samsung Galaxy S9+ มาพัฒนาให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของการประมวลผล, เทคโนโลยี AI, หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง, แบตเตอรี่, การเชื่อมต่อต่าง ๆ รวมถึงปากกา S Pen ที่เรียกได้ว่า ล้ำหน้ามากกว่ารุ่นเดิมอย่างมากเลยทีเดียว

ถ้าหากพิจารณาในด้านดีไซน์ภายนอกนั้น จะเห็นว่า แทบไม่แตกต่างไปจากรุ่นเดิมอย่าง Galaxy Note 8 เท่าใดนัก เรียกได้ว่า แทบจะถอดแบบกันมาเลยก็ว่าได้ ทั้งบอดี้แบบโลหะครอบทับด้วยกระจกทั้งด้านหน้าและด้านหลังแบบ Metal-Glass ที่มาพร้อมกับคุณสมบัติในการป้องกันน้ำและป้องกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68 แต่ Samsung Galaxy Note 9 จะมาพร้อมกับหน้าจอแบบ Infinity Display Super AMOLED ในอัตราส่วน 18:5:9 ความละเอียด 2960 x 1440 พิกเซล ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 6.4 นิ้ว เรียกได้ว่า ใหญ่ที่สุดในบรรดามือถือ Samsung ตอนนี้อีกด้วย แต่เมื่อจับถือดูแล้ว จะรู้สึกว่าขนาดพอ ๆ กับรุ่นเดิม เนื่องจากมีการปรับขนาดขอบสีดำทั้งด้านบนและด้านล่างให้เล็กลงนั่นเอง

ในส่วนของกล้องถ่ายรูปด้านหลังตัวเครื่อง ยังคงเป็นกล้องคู่แบบ Super Speed Dual Pixel Sensor (Dual-Camera) ที่มีการจัดวางในแนวนอนเช่นเดิม โดยตัวเลนส์มีขนาดไม่เท่ากันเหมือนของ Samsung Galaxy Note 8 เนื่องจากใช้โมดูลกล้องเดียวกับ Samsung Galaxy S9+ นั่นเอง ซึ่งประกอบด้วย เลนส์ Wide Angle ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ที่มาพร้อมกับรูรับแสงแบบ Dual Aperture ขนาด F/1.5 และ F/2.4 กับเลนส์ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด F/2.4, ระบบกันภาพสั่นแบบ Dual OIS และระบบโฟกัสภาพแบบ Phase Detection Autofocus

นอกจากนี้ กล้องด้านหลังบน Samsung Galaxy Note 9 ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี Recognizable AI ที่จะมาช่วยวิเคราะห์ภาพถ่าย ซึ่งมาพร้อมกับฟีเจอร์ Flaw Detection สำหรับตรวจจับภาพหลังจากถ่ายเสร็จว่า ภาพที่ได้เบลอหรือไม่, มีคนกระพริบตาหรือไม่ (จับคนกระพริบตาได้สูงสุด 3 คน), ภาพย้อนแสงหรือไม่ หรือเลนส์กล้องมัว ก็จะมีคำแนะนำให้ถ่ายใหม่ เพื่อให้ได้ภาพที่ดีที่สุด และฟังก์ชัน Scene Optimization กับการตรวจจับฉากและวัตถุที่ถ่ายภาพว่า ที่กำลังถ่ายอยู่นั้นคือฉากแบบไหน เพื่อจะทำการปรับสีให้อัตโนมัติและเป็นธรรมชาติมากที่สุด ซึ่งสามารถตรวจจับได้สูงสุด 20 ฉาก

ส่วนกล้องด้านหน้า ยังคงมาพร้อมกับความละเอียด 8 ล้านพิกเซล และรูรับแสงขนาด F/1.7 เช่นเดียวกับ Samsung Galaxy Note 8

ด้านปากกา S Pen นั้น ถือว่าเป็นการอัปเกรดครั้งใหญ่ที่สุด และเป็นจุดขายหลักของ Samsung Galaxy Note 9 เลยก็ว่าได้ ซึ่งในครั้งนี้ถูกอัปเกรดให้กลายเป็นปากกาแบบ Bluetooth เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมเทคโนโลยี Bluetooth Low Energy ที่ใช้พลังงานต่ำเพียง 0.5 mAh และทำงานได้สูงสุดที่ระยะ 10 เมตร อีกทั้งไม่จำเป็นต้องจับคู่ปากกากับตัวเครื่องให้ยุ่งยาก เนื่องจากตัวปากกานั้น ถูกซิงก์ไว้กับตัวเครื่องและพร้อมใช้งานตั้งแต่แรก อีกทั้งยังรองรับการใช้งานในหลาย ๆ ด้านนอกเหนือจากการขีดเขียนเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็น สามารถใช้เป็นชัตเตอร์กล้อง, ควบคุมการนำเสนองานต่าง ๆ ได้ (Presentation), กดที่ตัวปากกาแล้วสามารถอัดเสียงใส่ปากกาได้เลย, สามารถตั้งค่าการกดปากกาเพื่อเปิดใช้งานแอปพลิเคชันต่าง ๆ  และอื่น ๆ อีกมากมาย ส่วนการชาร์จแบตเตอรี่บนปากกา S Pen ทำได้ด้วยการเสียบกลับเข้าไปในตัวเครื่อง ซึ่งการชาร์จ 40 วินาที สามารถใช้งานได้นาน 30 นาที (กดได้ราว ๆ 200 ครั้ง)

ด้านการประมวลผล ถือว่า ได้รับการอัปเกรดให้ดีขึ้นและแรงขึ้นกว่าเดิมเช่นกัน ซึ่งมาพร้อมกับชิปเซ็ต Exynos 9810 แบบ Octa-Core Processor ความเร็ว 2.7 GHz, หน่วยประมวลผลภาพกราฟิก Mali-G72 MP18 GPU, หน่วยความจำ RAM ขนาด 6 GB, หน่วยความจำ ROM ขนาด 128 GB รองรับ microSD Card สูงสุด 512 GB และแบตเตอรี่ขนาด 4,000 mAh พร้อมรองรับระบบชาร์จเร็ว Quick Charge 2.0 และการชาร์จไร้สาย ซึ่ง Samsung Galaxy Note 9 นั้น มีรุ่นขนาดความจุ 512 GB ให้เลือกด้วย และเมื่อรวมกับหน่วยความจำเสริมแบบ microSD Card ขนาด 512 GB ทำให้มีพื้นที่ใช้งานโดยรวมสูงสุดถึง 1 TB เลยทีเดียว

ในด้านความปลอดภัย Samsung Galaxy Note 9 ยังคงรองรับการสแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลังตัวเครื่องเหมือนเช่นเคย แต่ได้มีการย้ายตำแหน่งให้มาอยู่ใต้เลนส์กล้องแทนแล้ว เพื่อแก้ปัญหาที่นิ้วมือมักจะโดนเลนส์กล้องขณะใช้งานนั่นเอง นอกจากนี้ ยังรองรับการสแกนม่านตา ที่มาพร้อมกับระบบการสแกนอัจฉริยะ (Intelligent Scan) ด้วยการรวมระบบสแกนม่านตากับการจดจำใบหน้าเข้าด้วยกัน ทำให้สามารถปลดล็อกได้อย่างรวดเร็วในทุกสภาพแสง

นอกจากนี้ ยังรองรับฟังก์ชันอื่น ๆ อีกมากมายสมชื่อรุ่นเรือธงส่งท้ายปลายปี ไม่ว่าจะเป็น รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด ซึ่งรองรับเครือข่าย 4G LTE ทั้ง 2 ซิม, รองรับเทคโนโลยี 5CA และ 4x4 MIMO, รองรับ Samsung Pay และ NFC, รองรับ AR Emoji ที่มีให้เลือกมากถึง 54 แบบ (มากกว่า Samsung Galaxy S9), ลำโพงเสียงคู่สเตอริโอจาก AKG และระบบเสียง Dolby Atmos, รองรับฟีเจอร์ Always-On Display, รองรับ Bixby เวอร์ชัน 2.0 และรองรับ Samsung DeX ซึ่งสามารถเข้าสู่ DeX Mode ได้ผ่านทางสาย USB-C to HDMI เพียงเส้นเดียว และสามารถเปลี่ยน Samsung Galaxy Note 9 ให้กลายเป็นคีย์บอร์ดกับ TrackPad ได้อีกด้วย

สำหรับราคาของ Samsung Galaxy Note 9 ในไทย อยู่ที่ 33,900 บาท มีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก Ocean Blue, Metallic Copper และ Midnight Black วางจำหน่ายแล้ววันนี้ ที่ Samsung Brand Shop และร้านตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ โดยสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Samsung Galaxy Note 9 ได้ทาง www.samsung.com

 

จุดเด่นของ Samsung Galaxy Note 9

  • ดีไซน์ตัวเครื่องแบบไร้ขอบไร้ปุ่มโฮม พร้อมกระจก Gorilla Glass 5 ขอบโค้งสองด้าน และกรอบตัวเครื่องแบบอะลูมิเนียมซีรีส์ 7000
  • หน้าจอแสดงผลกว้าง 6.4 นิ้ว แบบ Quad HD+ Super AMOLED Capacitive Touchscreen 16.7 ล้านสี ความละเอียด 2960 x 1440 พิกเซล (516 ppi), อัตราส่วน 18:5:9
  • ชิปเซ็ต Exynos 9810 แบบ Octa-Core Processor ความเร็ว 2.7 GHz
  • หน่วยประมวลผลภาพกราฟิก Mali-G72 MP18 GPU
  • หน่วยความจำ RAM ขนาด 6 GB
  • หน่วยความจำ ROM ขนาด 128 GB รองรับ microSD Card สูงสุด 512 GB
  • กล้องด้านหน้า ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล, รูรับแสง F/1.7
  • กล้องคู่ด้านหลังแบบ Super Speed Dual Pixel Sensor (Dual-Camera)
    • กล้องตัวแรก (Wide Angle) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล, รูรับแสงแบบ Dual Aperture ขนาด F/1.5 และ F/2.4
    • กล้องตัวที่ 2 (Telephoto) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล, รูรับแสงขนาด F/2.4
    • ระบบโฟกัสภาพแบบ Phase Detection Autofocus (PDAF)
    • ระบบป้องกันภาพสั่นไหวคู่แบบ Dual OIS (Optical Image Stabilization)
    • ไฟแฟลชแบบ LED Flash
  • เทคโนโลยี Recognizable AI สำหรับวิเคราะห์ภาพถ่าย และปรับสีสันของภาพถ่ายให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด
  • ฟีเจอร์ Flaw Detection สำหรับตรวจจับภาพหลังจากถ่ายเสร็จว่า ภาพที่ได้เบลอหรือไม่, มีคนกระพริบตาหรือไม่ (จับคนกระพริบตาได้สูงสุด 3 คน), ภาพย้อนแสงหรือไม่ หรือเลนส์กล้องมัว ก็จะมีคำแนะนำให้ถ่ายใหม่ เพื่อให้ได้ภาพที่ดีที่สุด
  • ฟีเจอร์ Scene Optimization กับการตรวจจับฉากและวัตถุที่ถ่ายภาพว่า ที่กำลังถ่ายอยู่นั้นคือฉากแบบไหน เพื่อจะทำการปรับสีให้อัตโนมัติและเป็นธรรมชาติมากที่สุด ซึ่งสามารถตรวจจับได้สูงสุด 20 ฉาก
  • แบตเตอรี่ขนาด 4,000 mAh พร้อมรองรับระบบชาร์จเร็ว Quick Charge 2.0 และการชาร์จไร้สาย
  • รองรับ Samsung Pay และ NFC
  • ปากกา S Pen รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth แล้ว
    • สามารถใช้เป็นชัตเตอร์กล้อง
    • ควบคุมการนำเสนองานต่าง ๆ (Presentation)
    • ใช้อัดเสียงได้
    • ชาร์จปากกา S Pen 40 วินาที สามารถใช้งานได้นาน 30 นาที
    • กันน้ำกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68
  • รองรับการสแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลังตัวเครื่อง
  • ระบบการสแกนอัจฉริยะ (Intelligent Scan) การยืนยันตัวตนรูปแบบใหม่ด้วยการรวมระบบสแกนม่านตากับการจดจำใบหน้าเข้าด้วยกัน ทำให้สามารถปลดล็อกได้อย่างรวดเร็วในทุกสภาพแสง
  • รองรับ AR Emoji มีให้เลือก 54 แบบ
  • รองรับ Bixby เวอร์ชัน 2.0
  • รองรับฟีเจอร์ Always-On Display
  • ฟีเจอร์ Dual Messenger สามารถเชื่อมต่อ 2 บัญชีในแอปฯ เดียวกันได้พร้อมกัน เช่น Facebook, LINE เป็นต้น
  • รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด และรองรับเครือข่าย 4G LTE ทั้ง 2 ซิม (Hybrid Slot)
  • รองรับเทคโนโลยี 5CA และ 4x4 MIMO
  • คุณสมบัติด้านการกันน้ำ และกันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP68 (สามารถอยู่ในน้ำลึก 1.5 เมตร นาน 30 นาที)
  • ลำโพงเสียงคู่สเตอริโอจาก AKG และระบบเสียง Dolby Atmos
  • รองรับ Samsung DeX ซึ่งสามารถเข้าสู่ DeX Mode ได้ผ่านทางสาย USB-C to HDMI เพียงเส้นเดียว และสามารถเปลี่ยน Samsung Galaxy Note 9 ให้กลายเป็นคีย์บอร์ดกับ TrackPad ได้อย่างง่ายดาย
  • พอร์ตการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C
  • ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 8.1 (Oreo) และอินเทอร์เฟส Samsung Experience เวอร์ชัน 9.5
  • แถมฟรีหูฟังคุณภาพสูงจากแบรนด์ AKG มาพร้อมชุดจำหน่ายมาตรฐาน

 

จุดที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม

  • ดีไซน์ตัวเครื่องโดยรวมแทบไม่ต่างจากมือถือรุ่นพี่อย่าง Samsung Galaxy Note 8 มากนัก
  • ถาดใส่ซิมการ์ดเป็นแบบ Hybrid Slot ทำให้ไม่สามารถใส่ซิมการ์ดที่ 2 และ microSD Card ได้พร้อมกัน
  • ไม่มีวิทยุ FM ในตัว
  • ฝาหลังเป็นกระจก ทำให้เกิดรอยนิ้วมือได้ค่อนข้างง่าย
  • ตัวเครื่องมีความมันวาว และผิวสัมผัสค่อนข้างลื่น ต้องระมัดระวังในการจับถือเป็นพิเศษ
  • เทคโนโลยี Recognizable AI ยังไม่ค่อยเสถียรเท่าที่ควร มีการวิเคราะห์ฉากผิดพลาดบ้างในบางครั้ง

 

ข้อควรทราบ : เครื่อง Samsung Galaxy Note 9 ในบทความรีวิวนี้ เป็นเพียงเครื่องทดสอบเท่านั้น คุณสมบัติบางอย่างอาจยังไม่สมบูรณ์ 100% และอาจไม่ตรงกับตัวเครื่องที่วางจำหน่ายจริง

 

 

------------------------------------

บทความรีวิวโดย : techmoblog.com

Update : 03/09/2018

Samsung Galaxy Note 9 รีวิว Samsung Galaxy Note 9





Cookie Consent

Our website uses cookies to provide your browsing experience and relavent informations.Before continuing to use our website, you agree & accept of our Cookie Policy & Privacy