หน้าแรก >> ข่าวทั้งหมด >> อ่านบทความ/ข่าว

รีวิว แกะกล่อง iPad Air (iPad 5) โดยทีมงาน techmoblog มาแล้ว! Apple ประกาศราคา iPad Air ในไทย เริ่มต้นที่ 16,900 บาท จำหน่ายแล้ววันนี้

Apple ประกาศราคา iPad Air (iPad 5) ในไทยอย่างเป็นทางการครับ เริ่มต้นที่ 16,900 บาท สำหรับความจุ 16GB Wi-Fi โดยมีให้เลือก 2 สีคือ Space Gray และ Silver สามารถสั่งซื้อได้แล้ว ผ่านทาง Apple Online Store ประเทศไทย ใช้เวลาจัดส่งประมาณ 5-7 วันครับ (**ล่าสุด ราคารุ่น Wi-Fi + Cellular มาแล้ว!)

สรุป ราคา iPad Air (iPad 5) เป็นดังนี้

• iPad Air 16GB Wi-Fi ราคา 16,900 บาท
• iPad Air 32GB Wi-Fi ราคา 20,400 บาท
• iPad Air 64GB Wi-Fi ราคา 23,900 บาท
• iPad Air 128GB Wi-Fi ราคา 27,400 บาท
• iPad Air 16GB Wi-Fi + Cellular ราคา 21,400 บาท
• iPad Air 32GB Wi-Fi + Cellular ราคา 24,900 บาท
• iPad Air 64GB Wi-Fi + Cellular ราคา 28,400 บาท
• iPad Air 128GB Wi-Fi + Cellular ราคา 31,900 บาท  

อ่านต่อ : ราคา iPad Air (iPad 5) ในไทย อัพเดทล่าสุด

รีวิว iPad Air (iPad 5)

วางจำหน่าย iPad Air (iPad 5) ในไทย อย่างเป็นทางการแล้ว ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา เรียกได้ว่า รวดเร็วทันใจ สาวกค่ายผลไม้ อย่าง Apple เลยก็ว่าได้ครับ ซึ่งมีให้เลือกทั้ง iPad Air รุ่น Wi-Fi และ iPad Air Wi-Fi + Cellular และในวันนี้ ถือว่า เป็นโอกาสอันดี ที่ทีมงาน techmoblog จะมา รีวิว iPad Air (รีวิว iPad 5) ให้ชมกัน มาดูกันว่า iPad หน้าจอใหญ่ รุ่นบางเฉียบนี้ จะมีความน่าสนใจกว่ารุ่นก่อนหน้ามากน้อยแค่ไหน

สเปค iPad Air

- จอแสดงผลกว้าง 9.7 นิ้ว แบบ LED-Backlit glossy widescreen Multi-Touch (Retina display) พร้อมเทคโนโลยี IPS ความละเอียด 2048 x 1536 พิกเซล (264 ppi)
- หน่วยประมวลผลแบบ Dual-Core Processor (Apple A7 chipset) พร้อมเทคโนโลยีการประมวลผลแบบ 64-bit และหน่วยประมวลผล M7 motion coprocessor สำหรับการใช้งานเกี่ยวกับสุขภาพ และการออกกำลังกาย
- หน่วยประมวลผลภาพ PowerVR G6430
- RAM 1 GB
- หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง ขนาด 16 GB, 32 GB, 64 GB และ 128 GB
- รัน iOS 7.0.4 (เวอร์ชันอัพเดท ณ วันที่ 23 ธันวาคม 2556)
- ตัวเครื่องบาง 7.5 มิลลิเมตร
- รองรับ Bluetooth 4.0
- กล้องด้านหน้า ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล
- กล้องด้านหลัง ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ไม่มีไฟแฟลช
- สำหรับรุ่น Wi-Fi หนัก 469 กรัม และรุ่น Cellular หนัก 478 กรัม

รีวิว iPad Air : ดีไซน์ และการออกแบบ

iPad Air (iPad 5) มาพร้อมหน้าจอแสดงผลขนาด 9.7 นิ้ว แบบ Retina display ความละเอียด 2048 x 1536 พิกเซล ซึ่งเป็นขนาดเดียวกับ iPad 4 ครับ แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ ตัวเครื่องบางลง และน้ำหนักเบากว่าเดิม โดย iPad Air รุ่น Wi-Fi + Cellular นั้น มีน้ำหนักเพียง 478 กรัมเท่านั้น ในขณะที่ iPad 4 Wi-Fi + Cellular มีน้ำหนักมากถึง 662 กรัมเลยทีเดียว

สำหรับด้านบนของหน้าจอแสดงผลนั้น ประกอบด้วย กล้องด้านหน้า ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล รองรับการบันทึกวีดีโอขนาด 720p และ Ambient Light Sensor ปรับความสว่างของหน้าจอตามสภาพแวดล้อมที่ใช้ให้อัตโนมัติ

ส่วนด้านล่างของหน้าจอแสดงผล ประกอบด้วย ปุ่ม Home ที่ยังคงเป็นปุ่มแบบปกติ ไม่ใช่ปุ่มที่มี เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ หรือ Touch ID แบบ iPhone 5S ครับ

สำหรับด้านขวาของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ปุ่มปิดเสียง (หรือล็อคการหมุนของหน้าจอ แล้วแต่การตั้งค่า), ปุ่มปรับระดับเสียง และถาดสำหรับใส่ซิมการ์ดแบบ nanoSIM ซึ่งจะรองรับเฉพาะ iPad Air รุ่น Wi-Fi + Cellular เท่านั้น ส่วนด้านซ้ายของตัวเครื่อง ไม่มีปุ่มควบคุมการทำงานใดๆ ครับ

ด้านบนของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ช่องหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 มิลลิเมตร, ไมโครโฟน และ ปุ่ม Power สำหรับเปิด-ปิดตัวเครื่อง หรือล็อคหน้าจอ ส่วนด้านล่างของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ลำโพงแบบ stereo และพอร์ต Lightning connector

พลิกมาด้านหลังตัวเครื่องกันบ้างครับ โดยด้านซ้าย เป็นกล้องแบบ iSight ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาดกว้างสูงสุดที่ F/2.4 ส่วนตรงกลาง จะเป็น ไมโครโฟนตัวที่สอง สำหรับตัดเสียงรบกวนรอบข้าง ส่วนแถบสีขาวด้านบนนั้น เป็นการบ่งบอกว่า เป็น iPad Air รุ่น Cellular ครับ ซึ่งถ้าเป็น iPad Air รุ่น Wi-Fi จะไม่มีแถบสีขาวนี้ ซึ่งถ้าเป็น iPad Air สีขาว แถบดังกล่าวจะเป็นสีขาว แต่ถ้าเป็น iPad Air สีเทา Space Grey จะเป็นแถบสีดำครับ

เปรียบเทียบ iPad Air กับ iPad mini รุ่นแรกครับ จะเห็นได้ว่า การออกแบบคล้ายกัน เพียงแต่ขนาดตัวเครื่องไม่เท่ากันครับ ส่วนความบางนั้น iPad mini จะบางกว่าเล็กน้อยที่ 7.2 มิลลิเมตร ส่วน iPad Air บาง 7.5 มิลลิเมตรครับ

รีวิว iPad Air : อินเทอร์เฟส และการใช้งานเบื้องต้น

สำหรับ iPad Air นั้น จะมาพร้อมกับ iOS 7 ที่มีการออกแบบ อินเทอร์เฟสใหม่ ทั้งเมนู, ไอคอน รวมไปถึงเพิ่มคุณสมบัติใหม่ๆ เข้ามา ไม่ว่าจะเป็น Control Center และ Notification Center ที่เรียกได้ว่า เป็นลูกเล่นใหม่สำหรับผู้ใช้งาน iOS

ในส่วนของการปลดล็อคหน้าจอนั้น ยังคงเป็นแบบ slide to unlock เพื่อใส่รหัส passcode และแอพพลิเคชั่น ยังคงเป็น ไอคอนเรียงกัน หรือจะจัดกลุ่มให้อยู่ในโฟลเดอร์เดียวกันก็ได้

เมื่อปัดจากด้านบนหน้าจอมายังด้านล่าง จะเป็นการเข้าสู่เมนู Notification Center หรือ การแจ้งเตือนต่างๆ ครับ ส่วนการปัดจากด้านล่างขึ้นด้านบน จะเป็นการเข้าสู่เมนู Control Center เมนูลัดเข้าใช้งาน เช่น เปิด-ปิด Wi-Fi, Bluetooth, ปรับความสว่างของหน้าจอ, เมนูฟังเพลง และอื่นๆ

และในส่วนของ Multitasking เปลี่ยนจากการแตะไอคอนค้าง เพื่อปิดแอพพลิเคชั่น เป็นการปัดขึ้นด้านบนแทน ซึ่งถือว่า สะดวกต่อการใช้งานมากขึ้นครับ

การแตะแล้วลากลงตรงส่วนใดๆ ของหน้าจอ จะเป็นการเข้าสู่เมนูการค้นหา หรือ Spotlight ครับ ซึ่งสามารถค้นหาได้ทั้ง แอพพลิเคชั่น, ค้นหาเว็บไซต์ หรือค้นหาผ่าน Wikipedia

และเนื่องจาก iPad Air ที่นำมาทดสอบนี้ เป็นรุ่น Wi-Fi + Cellular สามารถใช้งานเป็น Hotspot ในการกระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ตได้อีกด้วย

สำหรับ Photos หรือคลังภาพนั้น ได้ถูกออกแบบ อินเทอร์เฟส ใหม่เช่นเดียวกันครับ โดยรูปภาพที่ถ่ายนั้น มีการแบ่งเป็นหมวดหมู่ จากวันเวลาที่ถ่าย และสถานที่ นอกจากนี้ ยังสามารถ tag สถานที่ที่ถ่ายภาพนั้นๆ ได้อีกด้วย

แอพพลิเคชั่น ที่ผู้ใช้ iOS จะขาดไม่ได้ นั่นก็คือ App Store แหล่งรวมแอพพลิเคชั่นจากทั่วทุกมุมโลก มีให้เลือกทุกหมวดหมู่ ซึ่งก่อนจะเข้าใช้งาน จะต้องล็อกอินผ่านทาง Apple ID เสียก่อน

นอกจากนี้ ผู้ที่ซื้ออุปกรณ์ iOS ที่มาพร้อมกับ iOS 7 จะได้รับสิทธิ์ดาวน์โหลด แอพพลิเคชั่น ในชุด iWork ฟรีครับ ได้แก่ Pages, Numbers, Keynote, iMovie และ iPhoto ซึ่งก่อนหน้านั้น แอพฯ เหล่านี้ จะต้องเสียเงินเพื่อซื้อมาใช้งานครับ

สำหรับเบราว์เซอร์ Safari บน iOS 7 นั้น ได้รับการออกแบบใหม่ เน้นโทนสีขาว และเรียบง่าย รองรับการแชร์หน้าเว็บเพจ ไปยัง อีเมล, เฟสบุ๊ค หรือ ทวิตเตอร์ นอกจากนี้ ยังมีโหมด iCloud Tabs สามารถเปิดอ่านลิงก์ที่ถูกบันทึกไว้ผ่าน iCloud บนอุปกรณ์ใดก็ได้ ที่ใช้ account เดียวกัน ถือว่า สะดวกมากทีเดียว นอกจากนี้ ยังรองรับการใช้งานในแนวนอนอีกด้วย

รีวิว iPad Air : ทดสอบกล้องด้านหลังแบบ iSight ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล

สำหรับความละเอียดของกล้อง iSight บน iPad Air (ipad 5) อยู่ที่ 5 ล้านพิกเซล เท่ากับที่ใช้บน iPad 4 ครับ ไม่รองรับไฟแฟลช แต่ได้มีการปรับเซ็นเซอร์ใหม่ ทำให้ได้ภาพที่ดีกว่าบน iPad 4 เล็กน้อย

โดยโหมดการใช้งานกล้อง บน iPad Air นั้น มีทั้งหมด 3 โหมดด้วยกัน ได้แก่ Video, Photo และ Square ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ด้วยการ เลื่อนไปมา ส่วนการถ่ายภาพในโหมด Panorama และ Slo-mo แบบเดียวกับ iPhone 5S นั้น ไม่มีให้ใช้งานบน iPad Air ครับ นอกจากนี้ ยังไม่สามารถใส่ฟิลเตอร์ให้กับภาพถ่าย แบบเดียวกับที่ใช้บน iPhone อีกด้วย

มาชมตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง iSight ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล บน iPad Air ครับ (คลิกที่ภาพเพื่อชมภาพขนาดเต็ม แบบไม่ผ่านการตกแต่งใดๆ)

รีวิว iPad Air : บทสรุปการใช้งาน

ถ้าหากเปรียบเทียบ iPad Air (iPad 5) กับ iPad 4 ต้องบอกว่า มีความแตกต่างกันอย่างมากครับ โดยเฉพาะในเรื่องของ ดีไซน์, น้ำหนักที่เบาลง และตัวเครื่องที่บางลงกว่าเดิม ที่เรียกได้ว่า น่าจะเป็นจุดขายหลักของ iPad Air เลยก็ว่าได้ เพราะทำให้การพกพาสะดวกมากขึ้นนั่นเอง

ไม่เพียงเท่านั้น iPad Air ยังมาพร้อมกับ สเปคแรง ด้วยหน่วยประมวลผลแบบ Dual-Core Processor (Apple A7 chipset) พร้อมเทคโนโลยีการประมวลผลแบบ 64-bit และหน่วยประมวลผล M7 motion coprocessor สำหรับการใช้งานเกี่ยวกับสุขภาพ และการออกกำลังกาย ที่เรียกได้ว่า แรงกว่าบน iPhone 5S เล็กน้อย สำหรับผู้ที่ชอบเล่นเกมกราฟฟิคหนักๆ หมดห่วงไปได้เลย เมื่อใช้ iPad Air ครับ

โดย ราคา iPad Air (ราคา iPad 5) ในไทย สำหรับรุ่น Wi-Fi เริ่มต้นที่ 16,900 บาท ส่วนรุ่น Cellular เริ่มต้นที่ 21,400 บาท สามารถหาซื้อได้ ทั้งผ่านทาง Apple Online Store และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศครับ

เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ iPad 5 (ไอแพด 5) ในชื่อใหม่ กับ iPad Air ที่มีการปรับดีไซน์ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกับ iPad mini นั่นเอง โดยขอบหน้าจอ บางลง เพียง 0.7 มิลลิเมตร บางกว่ารุ่นก่อนหน้า 45% และจุดเด่นที่สำคัญก็คือ iPad Air (iPad 5) น้ำหนักเบามาก เพียง 469 กรัมเท่านั้น มาดูจุดเด่นอื่นๆ ของ ipad air หรือ ipad 5 กันครับ

iPad Air (iPad 5) มาพร้อมหน้าจอขนาด 9.7 นิ้ว แบบ Retina Display ความละเอียด 2048 x 1536 พิกเซล ซึ่งสเปคในส่วนนี้ ยังคงเหมือนกับ iPad 4 แต่ความเปลี่ยนแปลงก็คือ ดีไซน์ที่เปลี่ยนไป ใกล้เคียงกับ iPad mini มากขึ้น โดย iPad Air นั้น บางเพียง 7.5 มิลลิเมตรเท่านั้น ซึ่งบางลงกว่ารุ่นก่อนหน้า 20% และน้ำหนักอยู่ที่ 469 กรัม เบากว่าเดิม 28% ครับ

สำหรับชิปประมวลผลบน iPad Air (ipad 5) เป็นชิป Apple A7 แบบเดียวกับที่ใช้บน iPhone 5S (ไอโฟน 5S) นั่นเอง ซึ่งรองรับการประมวลผลแบบ 64-bit และชิป M7 coprocessor อีกด้วย โดยชิป Apple A7 นี้ ทำให้ iPad Air ประมวลผลทั้งด้าน CPU และ GPU ได้เร็วกว่า iPad 4 ถึง 2 เท่า นอกจากนี้ ยังช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่อีกด้วย โดยรองรับการใช้งานนานถึง 10 ชั่วโมงเลยทีเดียว

ในส่วนของการเชื่อมต่อนั้น iPad Air ใช้เสาสัญญาณ 2 ตัว และเทคโนโลยี MIMO ทำให้รองรับสัญญาณ Wi-Fi ได้เร็วขึ้นถึง 2 เท่า ส่วนกล้องด้านหลัง ความละเอียดเท่าเดิมที่ 5 ล้านพิกเซล ไม่รองรับไฟแฟลช กล้องด้านหน้า ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล นอกจากนี้ ตัวเครื่องยังประกอบด้วย ไมโครโฟน 2 ตัว เพื่อความคมชัดของเสียงขณะถ่ายคลิปวีดีโอครับ

ราคา iPad Air (iPad 5)

โดย iPad Air (iPad 5) มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีเทา Space Gray และ สีเงิน Silver ส่วนหน่วยความจำในตัวเครื่อง มีให้เลือก 4 ความจุด้วยกัน ได้แก่ 16GB, 32GB, 64GB และ 128GB ราคาเป็นดังนี้ครับ

รุ่น Wi-Fi

• iPad Air 16GB Wi-Fi ราคา $499
• iPad Air 32GB Wi-Fi ราคา $599
• iPad Air 64GB Wi-Fi ราคา $699
• iPad Air 128GB Wi-Fi ราคา $799

รุ่น Wi-Fi + Cellular

• iPad Air 16GB Wi-Fi + Cellular ราคา $629
• iPad Air 32GB Wi-Fi + Cellular ราคา $729
• iPad Air 64GB Wi-Fi + Cellular ราคา $829
• iPad Air 128GB Wi-Fi + Cellular ราคา $929

วันวางจำหน่าย iPad Air (iPad 5)

iPad Air (ipad 5) วางจำหน่ายวันแรก 1 พฤศจิกายนนี้ ใน 41 ประเทศทั่วโลก ซึ่งยังไม่มีรายชื่อ ประเทศไทย ในรอบแรกครับ แต่มีประเทศในแถบเอเชีย ที่วางจำหน่ายรอบแรกด้วยเช่นกัน ได้แก่ จีน, ฮ่องกง, ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ซึ่งต้นเดือนหน้า เราจะได้เห็น iPad Air เครื่องหิ้วในไทยอย่างแน่นอนครับ

ส่วนกำหนดการวางจำหน่าย iPad Air (ipad 5) ในไทย ถ้าหากมีความคืบหน้า ทีมงาน techmoblog จะรีบนำมารายงานให้ทราบกันอย่างแน่นอน ติดตามกันได้ครับ

iPad 4 ปรับราคาลงแล้ว

ตามธรรมเนียมครับ เมื่อมีการเปิดตัว iPad 5 (iPad Air) ทำให้ iPad รุ่นก่อนหน้า อย่าง iPad 4 ได้ปรับราคาลงแล้ว ซึ่งบน Apple Online Store ประเทศไทย ได้ปรับราคา iPad 4 ใหม่ ดังนี้ครับ

รุ่น Wi-Fi

• iPad 4 16GB Wi-Fi ราคา 14,900 บาท
• iPad 4 32GB Wi-Fi ราคา 17,900 บาท
• iPad 4 64GB Wi-Fi ราคา 21,400 บาท
• iPad 4 128GB Wi-Fi ราคา 24,900 บาท

รุ่น Wi-Fi + Cellular

• iPad 4 16GB Wi-Fi + Cellular ราคา 18,700 บาท
• iPad 4 32GB Wi-Fi + Cellular ราคา 22,400 บาท
• iPad 4 64GB Wi-Fi + Cellular ราคา 25,900 บาท
• iPad 4 128GB Wi-Fi + Cellular ราคา 29,400 บาท

 

 

---------------------------------------
ข้อมูลโดย : techmoblog.com

 

Update : 02/09/2020

ipad 5 สเปค ipad 5 รีวิว ipad 5 ไอแพด 5 ราคา ipad 5 ipad 5 price





Cookie Consent

Our website uses cookies to provide your browsing experience and relavent informations.Before continuing to use our website, you agree & accept of our Cookie Policy & Privacy