หน้าแรก >> ข่าวทั้งหมด >> อ่านบทความ/ข่าว

[รีวิว] JBL Quantum Series หูฟังตระกูลเกมมิ่งรุ่นล่าสุด มาพร้อมเสียงแบบ 360 องศา และระบบตัดเสียงรบกวน บนดีไซน์สวยทันสมัย พร้อมไฟ RGB โดดเด่นไม่เหมือนใคร

นอกเหนือจากหูฟังสำหรับการออกกำลังกายที่มีให้เลือกมากมายหลายรุ่นแล้ว ล่าสุด JBL แบรนด์หูฟังชื่อดังระดับโลก ได้ก้าวเข้าสู่วงการเกมมิ่งอย่างเต็มรูปแบบ กับการเปิดตัวซีรี่ส์ใหม่ในชื่อ JBL Quantum Series ซึ่งเป็นหูฟังที่ออกแบบมาเพื่อการเล่นเกมโดยเฉพาะ

สำหรับ JBL Quantum Series เปิดตัวมาทั้งหมด 7 รุ่น ซึ่งรุ่นที่ทีมงาน techmoblog.com จะนำมารีวิวให้ชมกันในวันนี้มี 3 รุ่นด้วยกัน ซึ่งได้แก่ JBL Quantum 400, JBL Quantum 800 และรุ่นท็อป JBL Quantum ONE มาดูกันดีกว่าว่า แต่ละรุ่นจะมีจุดเด่น รวมถึงฟังก์ชันการใช้งาน และคุณภาพเสียงที่ได้ แตกต่างกันอย่างไร มาพิสูจน์ไปพร้อม ๆ กันกับ รีวิวหูฟัง JBL Quantum Series โดยทีมงาน techmoblog.com

 

เปรียบเทียบสเปก JBL Quantum Series

 

รีวิว JBL Quantum ONE

มาเริ่มกันที่รุ่นใหญ่ของซีรี่ส์นี้กันก่อน กับ JBL Quantum ONE ที่ถือว่า เป็นรุ่นท็อปของซีรี่ส์นั่นเอง โดยรุ่นนี้มาพร้อมกับดีไซน์แบบ Over-Ear หรือแบบครอบหู ส่วน Ear Cup ทำจากหนังเทียม มีขนาดใหญ่และนุ่ม ทำให้สวมใส่สบายและไม่เจ็บหู ด้านในมีการสกรีนสัญลักษณ์ซ้าย-ขวาอย่างชัดเจน ส่วนภายในบรรจุไดร์เวอร์แบบ Dynamic Driver ขนาด 50 มม. แบบ 32 ohm ที่ขับเสียงตั้งแต่ 20Hz - 40kHz

 

สำหรับ Headband มีขนาดใหญ่ ด้านในเป็น Memory Foam หุ้มด้วยหนังเทียม ให้ความรู้สึกนุ่ม สวมใส่สบาย ส่วนก้านหูฟังสามารถปรับระดับให้เหมาะสมกับการใช้งานได้

 

จุดเด่นด้านดีไซน์ของ JBL Quantum ONE รุ่นนี้ก็คือ ไฟ RGB ตรงบริเวณ Ear Cup ซึ่งถือว่า เป็นรุ่นที่มีพื้นที่แสดงไฟ RGB ที่ใหญ่ที่สุดในซีรี่ส์นี้ มีทั้งหมด 3 ส่วน นั่นก็คือ ส่วน Logo, Ring และ Notch ซึ่ง สามารถปรับเปลี่ยนสีสันรวมถึงลูกเล่นของไฟ RGB ได้ผ่านซอฟท์แวร์ JBL QuantumENGINE

 

มาดูพอร์ตต่าง ๆ รอบ ๆ ตัวหูฟังกันบ้าง ซึ่งจะอยู่ที่หูฟังด้านซ้ายทั้งหมด ประกอบด้วย

  1. ไฟ LED แสดงสถานะของฟังก์ชัน Active Noise Cancelling (ANC) และ TALKTHRU
  2. ปุ่มเปิด-ปิดฟังก์ชัน Active Noise Cancelling (ANC) และ TALKTHRU
    • เปิด-ปิด ANC : กดค้างไว้ 2 วินาที
    • เปิด-ปิด TALKTHRU : กด 1 ครั้ง
  3. ปุ่ม Re-Center สำหรับตั้งค่าฟีเจอร์ Head Tracking
  4. รูไมโครโฟนสำหรับตัดเสียงสัญญาณรบกวน
  5. ปุ่มปรับระดับเสียง
  6. ปุ่มเปิด-ปิดไมโครโฟน
  7. ไฟ LED แสดงสถานะเปิด-ปิดหูฟัง
  8. พอร์ต USB-C สำหรับสาย Game/Chat Balance Dial
  9. Audio Jack ขนาด 3.5 มม.
  10. ช่องต่อไมโครโฟนแบบ Boom Microphone

 

ส่วนอุปกรณ์ที่ให้มาในชุดจำหน่ายมาตรฐาน ได้แก่ หูฟัง JBL Quantum ONE, สายหูฟังแบบ AUX 3.5 มม., ไมโครโฟนสำหรับ Calibrate, ไมโครโฟนแบบ Boom Microphone, Game/Chat Balance Dial สำหรับโปรแกรมแชท Discord ซึ่งเป็นสายแบบ USB-C, จุกฟองน้ำหุ้มไมโครโฟนเพื่อกันลม และคู่มือการใช้งาน

 

สำหรับสาย Game/Chat Balance Dial ตรงกลางจะเป็นวงแหวน ปรับได้ 2 แบบ นั่นก็คือ ถ้าหมุนไปทางซ้ายจะเป็นการเพิ่มเสียงในเกม แต่ถ้าหมุนไปทางขวา จะเป็นการเพิ่มเสียงแชท

 

ส่วนไมโครโฟนแบบ Boom Microphone จะมีไฟแสดงสถานะเช่นกัน ถ้าไฟติด หมายถึง ปิดไมค์ แต่ถ้าไม่มีไฟปรากฏ คือ เปิดไมค์ โดยสามารถเปิด-ปิดไมโครโฟนได้ที่ตัวหูฟัง

 

ดูดีไซน์ด้านนอกในภาพรวมกันแล้ว ถัดมาจะมาพูดถึงเรื่องของฟีเจอร์การใช้งานต่าง ๆ ของ JBL Quantum ONE โดยหูฟังรุ่นนี้เป็นหูฟังแบบมีสาย และถูกออกแบบมาให้ใช้กับคอมพิวเตอร์เป็นหลักโดยการเชื่อมต่อผ่านทางสาย USB รวมถึงทำงานร่วมกับอุปกรณ์อื่น ๆ ผ่านทางสาย AUX ก็ได้เช่นกัน

ด้านระบบเสียงที่ถือว่าหูฟังรุ่นนี้แตกต่างจากหูฟังทั่วไป นั่นก็คือ ฟีเจอร์ JBL QuantumSPHERE 360 ซึ่งเป็นระบบเสียงแบบ 360 องศา พร้อมฟังก์ชัน Head Tracking ที่จะใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวของศีรษะ ส่งผลทำให้เสียงที่ได้มีความสมจริงและมีมิติมากกว่า ช่วยเพิ่มอรรถรสในการเล่นเกมมากกว่าเดิม ซึ่งหูฟัง JBL Quantum ONE เป็นรุ่นเดียวในซีรี่ส์นี้ที่มีฟีเจอร์ Head Tracking

นอกจากนี้ หูฟัง JBL Quantum ONE ยังมาพร้อมกับ Noise Active Cancelling ระบบตัดเสียงรบกวน และ JBL QuantumSOUND ให้เสียงในระดับ Hi-Res สมจริงทุกรายละเอียด อีกทั้งยังรองรับฟีเจอร์ Game-Audio Cat Balance Dial ที่ถูกออกแบบให้ใช้กับโปรแกรมแชทสำหรับเกมเมอร์อย่าง Discord สามารถปรับเสียงเกมและเสียงแชทให้มีความ balance กันผ่านตัวหูฟัง

 

ด้านการปรับแต่งและควบคุมหูฟัง สามารถปรับแต่งได้ผ่านทางโปรแกรม JBL QuantumENGINE ซึ่งดาวน์โหลดมาใช้งานได้ที่เว็บไซต์ของ JBL

 

โดยด้านบนโปรแกรม JBL QuantumENGINE จะประกอบด้วยเมนูตั้งค่าต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ปรับระดับเสียง (ปรับได้เลยที่ตัวหูฟัง), ปรับความดังไมโครโฟน, Game/Chat Balance Dial (ปรับได้เลยที่ตัวอุปกรณ์), Spatial Sound โหมดจำลองเสียง, เปิด-ปิดโหมด Head Tracker และ Re-Center เป็นการตั้งค่า Head Tracking ใหม่

 

 

ส่วนเมนูด้านซ้าย ก็จะเป็นการตั้งค่าในส่วนต่าง ๆ เช่น Equalizer เครื่องมือสำหรับเพิ่ม-ลดย่านความถี่เสียง เช่น เสียงสูง, เสียงกลาง, เสียงทุ้ม ให้อยู่ในระดับที่เราต้องการ

 

Lightning เป็นการปรับเปลี่ยนสีและแสงไฟ RGB ที่ปรากฏบนตัวหูฟัง สามารถปรับได้ 2 ส่วน คือ ตรงโลโก้, และตรงวงแหวน ซึ่งสามารถเลือกระยะเวลาการแสดงแสงสีได้ว่า จะให้ปรากฏนานกี่วินาที

 

Spatial Sound เป็นเมนูเปิด-ปิดฟีเจอร์ QuantumSPHERE 360 หรือโหมดจำลองเสียงแบบ 7.1

 

Microphone เป็นการปรับระดับความดังของไมโครโฟนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

 

System Software เป็นการบอกว่า JBL QuantumENGINE ที่ใช้งานอยู่เป็นเวอร์ชันอะไร รวมถึงเวอร์ชันของตัวหูฟัง JBL Quantum ONE ด้วยเช่นกัน

 

ดูดีไซน์และฟังก์ชันต่าง ๆ ของหูฟัง JBL Quantum ONE กันไปแล้ว ลองมาทดสอบคุณภาพเสียงที่ได้กันบ้าง ซึ่งถือว่า หูฟังรุ่นนี้ให้เสียงที่ไม่เหมือนกับหูฟังทั่วไป เนื่องจากมีระบบ Head Tracking ทำให้เสียงที่ได้มีมิติมากกว่า เพราะมาครบทั้งเสียงซ้าย-ขวา-หน้า-หลัง และสามารถระบุทิศทางของเสียงได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะเสียงปืน หรือเสียงฝีเท้า เรียกได้ว่า เป็นหูฟังด้านเกมมิ่งที่ทำให้การเล่นเกมมีความสนุกและสมจริงมากกว่าเดิม

ถึงแม้ว่า หูฟัง JBL Quantum ONE จะถูกออกแบบให้ใช้งานกับคอมพิวเตอร์เป็นหลัก แต่ก็สามารถใช้กับเครื่องเล่นเกมคอนโซลอื่นได้เช่นกัน อย่างเช่น เครื่อง PlayStation 4 เพียงแต่ว่าจะใช้งานฟังก์ชันบางอย่างได้ไม่ครบถ้วน อย่างเช่น JBL QuantumENGINE เนื่องจากไม่สามารถลงโปรแกรมที่ตัวเครื่องได้ รวมถึงการปรับแต่ง Equalizer ก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน

สำหรับราคาของ JBL Quantum ONE อยู่ที่ 9,990 บาท

 

รีวิว JBL Quantum 800

สำหรับหูฟัง JBL Quantum 800 คือหูฟังรุ่นรองท็อปของซีรี่ส์ Quantum สิ่งที่แตกต่างจากรุ่นท็อปอย่าง JBL Quantum ONE นั่นก็คือ หูฟัง JBL Quantum 800 สามารถเชื่อมต่อแบบไร้สายได้นั่นเอง

ดีไซน์ของตัวหูฟัง JBL Quantum 800 เป็นแบบ Over-Ear ขนาดใหญ่พอ ๆ กับ JBL Quantum ONE บอดี้เป็นพลาสติกเนื้อดี ดูแข็งแรงทนทาน Headband มีขนาดใหญ่ ด้านนอกเป็นหนังเทียม ภายในเป็น Memory Foam ให้ความรู้สึกนุ่มสบาย ไม่กดทับศีรษะเมื่อสวมใส่นาน ๆ

 

ในส่วนของ Ear Cup มีขนาดใหญ่ ผิวสัมผัสนุ่มเช่นเดียวกับ Headband ด้านในระบุอักษร L กับ R อย่างชัดเจน โดย Ear Cup บิดได้ 90 องศา ส่วนก้านหูฟังปรับได้ถึง 6 ระดับ

 

ด้านนอกของหูฟังจะเป็นไฟ RGB แบบเดียวกับ JBL Quantum ONE แต่จะแสดงแสงไฟแค่ 2 ส่วน นั่นก็คือ ตรงโลโก้ กับส่วนที่เป็นวงแหวนรอบนอก โดยสามารถเปลี่ยนลูกเล่นของแสงไฟและสีสันต่าง ๆ ได้ผ่านทางโปรแกรม JBL QuantumENGINE

 

สำหรับแผงควบคุมการใช้งานจะอยู่ทั้งหูฟังด้านซ้ายและด้านขวา แต่หลัก ๆ จะอยู่ที่หูฟังด้านซ้าย ซึ่งประกอบด้วย

  1. ไฟ LED แสดงสถานะของฟังก์ชัน Active Noise Cancelling (ANC) และ TALKTHRU
  2. ปุ่มเปิด-ปิดฟังก์ชัน Active Noise Cancelling (ANC) และ TALKTHRU
    • เปิด-ปิด ANC : กดค้างไว้ 2 วินาที
    • เปิด-ปิด TALKTHRU : กด 1 ครั้ง
  3. วงล้อสำหรับปรับฟังก์ชัน Game Audio-Chat Balance Dial
  4. วงล้อปรับระดับเสียง
  5. ปุ่มเปิด-ปิดไมโครโฟน
  6. ไฟแสดงสถานะการชาร์จแบตเตอรี่
  7. ช่อง Audio Jack ขนาด 3.5 มม.
  8. พอร์ต USB-C สำหรับชาร์จแบตเตอรี่

 

ส่วนหูฟังด้านขวา ประกอบด้วย

  1. ปุ่ม Bluetooth และปุ่มรับสายโทรศัพท์
    • กดค้างไว้ 2 วินาที : เปิด Bluetooth และปล่อยสัญญาณ (เมื่อเชื่อมต่อสำเร็จ ไฟแสดงสถานะจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน)
    • กด 1 ครั้ง : รับสาย-วางสาย
    • กด 2 ครั้ง : ตัดสาย
  2. ปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง
    • ผลักไปทางซ้าย : เปิดเครื่อง
    • ผลักไปทางขวา : ปิดเครื่อง

 

ในส่วนของไมโครโฟน จะเป็นแบบติดกับตัวหูฟัง ไม่สามารถถอดได้ ซึ่งการผลักลงจะเป็นการเปิดไมค์ แต่ถ้าผลักขึ้น (ตั้งตรง) จะเป็นการปิดไมค์ โดยไฟ LED จะติดเมื่อปิดไมค์

ด้านแบตเตอรี่ รองรับการใช้งานสูงสุด 14 ชั่วโมง และใช้เวลาในการชาร์จจาก 0% จนเต็ม 100% เพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น ผ่านทางพอร์ต USB-C

USB Wireless Dongle

ในด้านการเชื่อมต่อ หูฟัง JBL Quantum 800 รุ่นนี้ รองรับการเชื่อมต่อไร้สายทั้งแบบ Wi-Fi 2.4 GHz และ Bluetooth 5.0 ซึ่งถ้าหากเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์พีซี ให้เลือกการเชื่อมต่อแบบ Wi-Fi 2.4 GHz โดยต้องใช้ร่วมกับ USB Wireless Dongle (มีให้ในกล่อง) ส่วนการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน ก็จะเป็นการเชื่อมต่อผ่านทาง Bluetooth 5.0

นอกจากนี้ หูฟัง JBL Quantum 800 ยังสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่ไม่สามารถเชื่อมต่อแบบไร้สายได้ผ่านทางสาย AUX 3.5 มม. ทำให้หูฟังรุ่นนี้รองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ได้หลากหลาย ทั้งคอมพิวเตอร์พีซี, อุปกรณ์ Mac, สมาร์ทโฟน รวมถึงเครื่องเล่นเกมคอนโซลอย่าง Xbox, PlayStation, Nintendo Switch และอุปกรณ์ VR

 

สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มาในชุดจำหน่ายมาตรฐาน ก็ได้แก่ หูฟัง JBL Quantum 800, สายชาร์จแบบ USB-C, สาย AUX ขนาด 3.5 มิลลิเมตร, USB Wireless Dongle สำหรับเชื่อมต่อแบบไร้สาย, ฟองน้ำสำหรับไมโครโฟน และคู่มือการใช้งาน

 

ในด้านการปรับแต่งและควบคุมหูฟัง สามารถทำได้ผ่านทางโปรแกรม JBL QuantumENGINE โดยเมนูการใช้งานคล้ายกันกับรุ่น Quantum ONE ต่างกันตรงที่ หูฟัง JBL Quantum 800 ไม่รองรับฟีเจอร์ Head Tracking

 

สำหรับเมนูการใช้งานของหูฟัง JBL Quantum 800 บนโปรแกรม JBL QuantumENGINE ก็ได้แก่ สามารถปรับระดับเสียงได้, ปรับความดังของไมโครโฟน, ฟีเจอร์ Game/Chat Balance Dial, ฟีเจอร์ Spatial Sound จำลองเสียงแบบ 7.1, ดูระดับแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่, สถานะการเชื่อมต่อแบบไร้สาย รวมถึงสามารถปรับ Equalizer และปรับแสงสีของหูฟังได้จากโปรแกรมนี้เช่นกัน

 

มาทดสอบคุณภาพเสียงที่ได้จากหูฟัง JBL Quantum 800 กันบ้าง ซึ่งรุ่นนี้มาพร้อมกับ Dynamic Driver ขนาด 50 มม. ขับเสียงตั้งแต่ 20Hz - 40kHz ในกรณีที่ใช้เล่นเกม ถือว่าเก็บรายละเอียดต่าง ๆ ได้ดีโดยเฉพาะเสียงเอฟเฟกต์ และการระบุตำแหน่งต่าง ๆ สมชื่อหูฟังที่ออกแบบมาเพื่อการเล่นเกม ส่วนใครที่ใช้ดูหนังฟังเพลง ก็ถือว่า ทำได้ดีไม่แพ้กัน โดยเสียงที่ได้ยังคงเป็นเสียงในสไตล์ของ JBL ไม่ว่าจะเป็นเสียงเบสที่มีความกระชับ เก็บรายละเอียดครบ, เสียงร้องมีความใส, เวทีเสียงก็มีความกว้าง สามารถระบุเครื่องตนตรีแต่ละชิ้นได้ ส่วนระบบ ANC ตัดเสียงรบกวนถือว่าทำได้ดี

ในด้านการใช้งานโดยรวมแล้ว ถือว่า หูฟัง JBL Quantum 800 รุ่นนี้ ทำได้ดีไม่แพ้รุ่น JBL Quantum ONE ขาดเพียงแค่ฟีเจอร์ Head Tracking ที่ทำให้เสียงที่ได้จากรุ่น Quantum ONE มีความสมจริงและมีมิติมากกว่า ซึ่งรุ่นนี้เคาะราคาแล้วอยู่ที่ 8,590 บาท

 

รีวิว JBL Quantum 400

สุดท้าย เป็นรุ่นระดับกลางของซีรี่ส์นี้ นั่นก็คือ JBL Quantum 400 ซึ่งมีดีไซน์ใกล้เคียงกับ JBL Quantum 800 แต่คุณภาพของวัสดุเป็นรองกว่าเล็กน้อย โดยบอดี้เป็นพลาสติกทั้งหมด ส่งผลทำให้ตัวหูฟังมีน้ำหนักเบาเพียง 274 กรัมเท่านั้น ส่วนการเชื่อมต่อจะต้องใช้สายแบบเดียวกับรุ่น Quantum ONE ไม่สามารถเชื่อมต่อไร้สายแบบรุ่น Quantum 800 ได้

 

สำหรับ Ear Cup ยังคงเป็น Memory Foam บุด้วยหนังเทียมที่ด้านนอก ทำให้มีผิวสัมผัสนิ่ม ทำให้สวมใส่สบาย ส่วนก้านหูฟังสามารถปรับได้ถึง 6 ระดับ ไม่บีบศีรษะ สวมใส่ได้กระชับ ด้าน Headband หุ้มด้วยหนังที่มีลวดลายเล็กน้อย แต่ความหนานุ่มจะน้อยกว่า 2 รุ่นด้านบน

 

ในส่วนของไฟ RGB รุ่นนี้จะแสดงผลเฉพาะส่วนของโลโก้เท่านั้น ซึ่งสามารถเลือกเปลี่ยนสีไฟได้ผ่านทางโปรแกรม JBL QuantumENGINE เช่นกัน

 

แผงควบคุม จะอยู่ที่หูฟังด้านซ้ายทั้งหมด ซึ่งประกอบด้วย

  1. วงล้อสำหรับปรับฟังก์ชัน Game Audio-Chat Balance Dial สามารถเลือกได้ว่าจะฟังเสียงจากแชทหรือเสียงจากเกมเป็นหลัก
  2. วงล้อปรับระดับเสียง
  3. ปุ่มเปิด-ปิดไมโครโฟน
  4. Audio Jack ขนาด 3.5 มม.
  5. พอร์ต USB-C

 

ด้านไมโครโฟนเป็นแบบก้านเหมือนกับ JBL Quantum 800 พร้อมฟองน้ำกันลม สามารถพับเก็บได้ ซึ่งเมื่อพับจะเป็นการปิดเสียงไมค์ โดยรุ่นนี้ไม่สามารถถอดไมโครโฟนออกได้

 

สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องผลิตภัณฑ์ ก็ได้แก่ หูฟัง JBL Quantum 400, สาย USB-C สำหรับชาร์จแบตเตอรี่, สาย AUX 3.5 มม., ฟองน้ำไมโครโฟน และคู่มือการใช้งาน

 

ในด้านการตั้งค่าการใช้งานต่าง ๆ หูฟัง JBL Quantum 400 ก็รองรับโปรแกรม JBL QuantumENGINE ด้วยเช่นกัน ลักษณะการใช้งานก็เหมือนกับ 2 รุ่นข้างต้น ไม่ว่าจะเป็น การปรับแต่ง Equalizer, ปรับแต่งไฟ RGB ตรงโลโก้หูฟัง, ปรับเสียงไมโครโฟน, มีโหมดจำลองเสียง (Spatial Sound) และอัปเดตซอฟท์แวร์ ซึ่งจะปรับได้ไม่มากเท่ากับ 2 รุ่นด้านบน

 

มาดูคุณภาพของเสียงที่ได้กันบ้าง ซึ่งรุ่นนี้มาพร้อมกับไดร์เวอร์แบบ Dynamic Driver ขนาด 50 mm. ที่ตอบสนองความถี่ได้ในช่วง 20Hz - 20kHz โดยจุดเด่นของรุ่นนี้ก็ยังคงเป็นเสียงเบสในสไตล์ของ JBL ที่มีความกระชับ รายละเอียดครบถ้วน โดยเฉพาะเรื่องของเสียงเอฟเฟกต์ต่าง ๆ, เสียงกลางออกโทนนุ่ม ไม่แหลมบาดหู และถ้าหากเปิดโหมดเสียงแบบ Surround จะได้แนวเสียงที่โอบล้อม ด้วยราคาที่ไม่แพงจนเกินไปนัก ถือว่า หูฟัง JBL Quantum 400 รุ่นนี้ สอบผ่านในหลาย ๆ ด้านเลยทีเดียว

สำหรับราคาของหูฟัง JBl Quantum 400 อยู่ที่ 3,990 บาท

 

บทสรุปการใช้งาน

สำหรับหูฟัง JBL Quantum Series ถือว่าเป็นหูฟังที่น่าจะถูกใจชาวเกมเมอร์โดยเฉพาะเลยก็ว่าได้ ซึ่งนอกจากจะมาพร้อมกับดีไซน์ที่ถูกออกแบบให้ทันสมัย สวมใส่สบาย ไม่บีบรัดศีรษะแล้ว ยังมาพร้อมกับระบบเสียงรอบทิศทาง QuantumSURROUND เทคโนโลยีเสียงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ JBL เป็นแชนแนลเสียง 5.1 และ 7.1 ซึ่งมีบนรุ่น JBL Quantum 300 จนถึงรุ่น JBL Quantum 800

ส่วน JBL Quantum ONE ซึ่งเป็นรุ่นท็อปของซีรี่ส์นี้ จะโดดเด่นกว่ารุ่นอื่นด้วยเทคโนโลยี JBL QuantumSPHERE 360 ซึ่งเป็นระบบเสียงแบบ 360 องศา พร้อมฟังก์ชัน Head Tracking ที่ทิศทางของเสียงจะเปลี่ยนไปตามการหันศีรษะของผู้ใช้ ทำให้เสียงที่ได้มีมิติและมีความสมจริงมากกว่ารุ่นอื่น

นอกจากนี้ จุดเด่นของ JBL Quantum Series ก็คือ ไฟ RBG บริเวณ Ear Cup ที่สามารถปรับเปลี่ยนลูกเล่นของไฟและสีสันต่าง ๆ ได้ผ่านทางซอฟท์แวร์ QuantumENGINE รวมถึงสามารถปรับแต่ง Equalizer และไมโครโฟนได้ผ่านทางโปรแกรมนี้เช่นกัน

โดย JBL Quantum Series ที่วางจำหน่ายในไทย มีทั้งหมด 7 รุ่นด้วยกัน ราคาเป็นดังนี้

 

และสำหรับใครที่สั่งซื้อ JBL Quantum Series รับฟรีของแถมสำหรับเกมเมอร์แบบจุใจ ไม่ว่าจะเป็น เสื้อเชิ้ต JBL Quantum, แผ่นรองเมาส์, ที่รองข้อมือ, JBL Quantum Cooler Fan และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยจะต้องลงทะเบียนเพื่อรับของแถมตามลิงก์ข้างต้น หมดเขต 31 กรกฎาคม 2563 นี้

 

 

-------------------------------------
บทความรีวิวโดย : techmoblog.com

Update : 13/08/2020

JBL JBL Quantum Series JBL Quantum ONE JBL Quantum 800 JBL Quantum 400





Cookie Consent

Our website uses cookies to provide your browsing experience and relavent informations.Before continuing to use our website, you agree & accept of our Cookie Policy & Privacy