หน้าแรก >> ข่าวทั้งหมด >> อ่านบทความ/ข่าว

เมื่อ Google Assistant กลายเป็น AI ที่เข้าใจผู้ใช้และทำได้ดีกว่า Siri ของ Apple

ในโลกของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ Apple ถือเป็นมือหนึ่งและเป็นตำนานในด้านการออกแบบ user interface ไม่ว่าจะเป็น Mac, iPod, iPhone หรือผลิตภัณฑ์ใดๆ ล้วนถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่ายและสามารถเข้าถึงได้ไม่ยาก ทำให้ Apple ครองใจผู้คนมากมาย แต่ในปัจจุบัน ท่ามกลางการวิ่งแข่งไปสู่อนาคต Apple กลับต้องเสียท่าให้คู่แข่งสำคัญอย่าง Google เพราะได้มองข้ามสิ่งสำคัญไปอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ “การสั่งการ AI ด้วยเสียง”

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา Google ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่หลายรายการด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟนเรือธง Pixel ที่ท้าชนกับ iPhone 7 ตรงๆ, ลำโพงอัจฉริยะ และแว่นตา Daydream View สำหรับแพลตฟอร์ม VR ใหม่ พร้อมกับโชว์ความสามารถของผู้ช่วยอัจฉริยะคนใหม่อย่าง Google Assistant ภายในงาน Sundar Pichai CEO คนปัจจุบันของ Google ได้กล่าวว่า Google Asistant อาจจะยังอยู่ในระยะตั้งไข่ แต่มันจะพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆจนกลายเป็นผู้ช่วยส่วนตัวที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ใช้แต่ละคนไปในที่สุด เป็นสัญญาณว่า Google จะทุ่มเทให้กับการพัฒนา AI อย่างเต็มที่แน่นอน


Sundar Pichai

แล้วอะไรกันที่ทำให้ Google Assistant เป็น AI ที่ล้ำหน้ากว่า Siri และอาจกลายเป็น AI แห่งอนาคตจริงๆ? เราไปดูพร้อมๆ กันครับ

 

ผู้ช่วยที่ "ช่วย" เราได้จริงๆ

หากพูดถึงผู้ช่วยอัจฉริยะ แน่นอนว่า Apple ก็มี Siri อยู่แล้ว และเป็นเจ้าแรกๆ ที่บุกเบิกเทคโนโลยีเช่นนี้ด้วย ซึ่งตัว Siri เองก็เป็น AI ที่ฉลาดพอตัว แต่หากพูดกันตามตรงแล้ว เรายังไม่ค่อยคุ้นชินกับการคุยกับ Siri นัก เพราะการพูดกับมือถือตัวเองในที่สาธารณะเป็นเรื่องที่ชวนกระอักกระอ่วน และตัว Siri เองก็ไม่ค่อยจะแก้ปัญหาอะไรให้เราได้จริงๆ จังๆ นอกจากจะคุยเล่นด้วยแก้เหงา ทำให้ผู้ใช้หลายคนเลือกที่จะลืมๆ มันไป

แต่ Google Assistant นั้นแตกต่างออกไป เพราะมันสามารถทำอะไรได้มากกว่านั้น ด้วยพื้นฐานทางการจัดการข้อมูลของ Google ที่แข็งแกร่ง ทำให้ Google Assistant มีคุณสมบัติพอที่จะมาเป็นผู้ช่วยเราได้จริงๆ นั่นคือ มันเข้าใจและคุยกับเราอย่างเป็นธรรมชาติ และแก้ปัญหาให้เราได้จริง

ฟีเจอร์ “Conversation Actions” จะทำให้ Google Assistant สามารถโต้ตอบกับเราได้อย่างเป็นธรรมชาติและสมเหตุสมผล เป็นการคุยกัน 2 ทางอย่างแท้จริง ซึ่งตัว Demo ของ Google ในงานก็ได้แสดงความสามารถให้เห็นเป็นตัวอย่าง โดยเมื่อได้รับคำสั่งว่า “เรียก Uber ให้หน่อย” แอปพลิเคชัน Uber ก็ถูกเรียกใช้งานทันที และมันยังถามเราต่อด้วยว่าเราจะไปที่ไหน อยากได้รถขนาดไหน จุได้กี่คน เป็นต้น หาก Google Home ปรับปรุงเรื่อง voice recognition และใช้องค์ความรู้ในเรื่องข้อมูลอินเทอร์เน็ตมาผสมผสาน เราจะได้ AI ที่โต้ตอบกับเราได้แบบไม่มีที่ติ และเราก็จะรู้สึกสบายใจในการคุยกับ AI มากยิ่งขึ้น


Google Pixel

ล่าสุด Google ได้บรรจุ Google Assistant ลงในสมาร์ทโฟน Pixel เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะเป็นการนำพาวิถีแห่ง AI มาสู่ผู้ใช้ตรงๆ แต่ที่น่าทึ่งกว่านั้น คือสิ่งที่จะเข้ามามีบทบาทที่สุดในชีวิตของเราทุกคน นั่นก็คือ Google Home ระบบบ้านอัจฉริยะที่สั่งการได้ด้วยเสียง เพราะบ้านคือสถานที่ที่เปรียบเสมือนชีวิตของเรานั่นเอง

 

เชื่อมสัมพันธ์มนุษย์และ AI ต้องเริ่มจากในบ้าน

ปัญหาที่ทำให้คนเราไม่อยากคุยกับ AI เหล่านี้ก็คือ มันประหลาดที่จะคุยกับมือถือตัวเองในที่สาธารณะ ถ้าเช่นนั้นเราจะทำให้ทุกคนชินกับการคุยกับ AI ได้อย่างไร? ดูเหมือนว่า Google จะมีคำตอบแล้ว

นอกจากจะอยู่ใน Pixel แล้ว Google Assistant ยังเป็นมันสมองของ Google Home เช่นกัน นับว่า Google ทำการบ้านมาดีกว่า Apple ในเรื่องพฤติกรรมของผู้ใช้ และเลือกที่จะให้ Google Assistant โฟกัสไปที่การใช้งานในบ้านก่อน เพราะในทางปฏิบัติแล้ว เรารู้สึกสบายใจที่จะคุยกับ AI ในบ้านตัวเองมากกว่าในที่สาธารณะ นอกจากนี้ยัง Always On คือพร้อมรับคำสั่งเราได้ทันที ต่างกับ Siri บน iPhone หรือ Apple TV ที่ต้องเปิดมันขึ้นมาก่อนถึงจะสั่งงานได้ ซึ่งทำให้การสั่งงานด้วยเสียงนั้น ไม่ได้ง่ายอย่างที่มันควรจะเป็น


HomeKit แพลตฟอร์มบ้านอัจฉริยะจาก Apple

จริงๆ แล้ว Apple ก็มี HomeKit เป็นแพลตฟอร์มบ้านอัจฉริยะเหมือนกันแถมเปิดตัวก่อนตั้งแต่ปี 2014 แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า HomeKit พัฒนาไปอย่างเชื่องช้าด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง จนถึงตอนนี้เราก็ยังไม่ได้ใช้ HomeKit กันอย่างจริงๆ จังๆ สักที สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะ HomeKit ยังขาดการสั่งงานด้วยเสียงที่ดีอยู่ ในขณะเดียวกันก็ยังไม่มีผลิตภัณฑ์ออกมารองรับมากนัก อาจเป็นเพราะความพิถีพิถันในมาตรฐาน และความใส่ใจด้านความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ทำให้ Apple พัฒนาโครงการนี้ช้ากว่าคู่แข่ง

 

พลังของการเป็น "ระบบเปิด"

สิ่งที่ Google ได้เปรียบ Apple อีกอย่างหนึ่ง นั่นคือการเป็นระบบเปิด ในการพัฒนาโครงการต่างๆ Google มักจะวางแผนให้นักพัฒนาจากข้างนอกมาร่วมพัฒนาด้วย ทำให้สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และเป็นมิตรกับแอปพลิเคชัน third-party มากขึ้น นำไปสู่การบูรณาการอย่างไร้ขีดจำกัด 

ในเรื่องฮาร์ดแวร์และ user interface ทาง Google อาจจะสู้ Apple ที่ขึ้นหิ้งเป็นตำนานไม่ได้ แต่หาก Google Assistant บน Pixel และ Google Home ทำออกมาได้ฉลาดเหมือนตัว demo ในงานจริงๆ ล่ะก็ Apple ลำบากแน่ เพราะยิ่ง Siri มีการโต้ตอบที่ไม่เข้าท่ากับผู้ใช้มากเท่าไหร่ การโต้ตอบที่ฉลาดกว่าของ Google Assistant ก็จะยิ่งทำให้ Siri ดูทึ่มลงไปเท่านั้น

Apple เป็นผู้เบิกทางสู่การสร้างคอมพิวเตอร์, จอสัมผัส และ AI interface อย่างแท้จริง ทำให้เรามีคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานง่าย สมาร์ทโฟนบางเฉียบ แท็บเล็ตทรงประสิทธิภาพ และเริ่มคุ้นเคยกับการพูดคุยกับ AI อย่างเช่นที่ Siri ได้บุกเบิกไว้ แต่ในตอนนี้ผู้ที่จะเปิดประตูสู่อนาคตด้วย AI อัจฉริยะที่ตอบโต้กับมนุษย์ได้อย่างฉลาดและเป็นธรรมชาติ คือ Google

อย่างไรก็ตาม ระยะหลังนี้ Apple เริ่มเฟ้นหาผู้เชี่ยวชาญด้าน AI จำนวนมากมาร่วมงาน อาจเป็นสัญญาณว่า Apple เองก็กำลังซุ่มทำอะไรบางอย่างออกมาแก้เกม Google เหมือนกัน สุดท้ายแล้วใครกันแน่ที่จะนำเราไปสู่ยุคใหม่อย่างแท้จริง คงต้องติดตามกันต่อไป

---------------------------------------
ที่มา : Cult of Mac

แปลและเรียบเรียง : techmoblog.com

Update : 06/10/2016

google Apple Siri Googlr Google Assistant





Cookie Consent

Our website uses cookies to provide your browsing experience and relavent informations.Before continuing to use our website, you agree & accept of our Cookie Policy & Privacy